วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2551

สมัครพ้นสภาพนายกสมัคร

วิบากกรรมชายชราชื่อ"สมัคร"..
นายสมัคร เมื่อมิได้เป็นนายกฯแล้วก็มีสภาพเป็นเพียงชายชราคนหนึ่งที่จู้จี้ขี้บ่น จุกจิกขี้โมโห ต้องผจญกับวิบากกรรมที่ตัวเองก่อไว้อีกหลายเรื่องคือ คดีหมิ่นประมาท นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ และคดีทุจริตการจัดซื้อรถดับเพลิงและเรือดับเพลิง กทม.มูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาทการเลื่อนประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีเมื่อเช้าวันที่ 12 กันยายน ออกไปเป็นเช้าวันพุธที่ 17 กันยายน 2551 เนื่องจาก ส.ส.พรรคพลังประชาชน(พปช.)บางกลุ่ม และพรรคร่วมรัฐบาลไม่เข้าร่วมประชุมทำให้องค์ประชุมไม่ครบนั้น มีข้อน่าสังเกตบางประการดังนี้
หนึ่ง
เป็นการสอนบทเรียนแก่นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีและ ส.ส.กลุ่มเพื่อเนวิน ซึ่งดื้อด้านเต็มไปด้วยมิจฉาทิฐิจะเสนอนายสมัครเป็นนายกฯอีกครั้งหนึ่งโดยไม่ฟังเสียงต่อต้านคัดค้านจากประชาชน นักวิชาการ นักธุรกิจและกลุ่มองค์กรต่างๆอย่างกว้างขวาง กลุ่มที่คัดค้านเกรงว่า ถ้านายสมัครกลับมาเป็นนายกฯอีกจะสร้างความแตกแยกขัดแย้งทางสังคมอย่างรุนแรงและนำความหายนะมาสู่ระบบเศรษฐกิจและการเมืองได้
สอง เห็นธาตุแท้ของนักการเมืองบางกลุ่มบางพรรคโดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์และพรรคชาติไทย
โดยพรรคประชาธิปัตย์ฉวยโอกาสเสนอชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ แม้จะรู้ว่าไม่มีทางได้เสียงมากกว่ากึ่งหนึ่ง(236 เสียงขึ้นไป) แต่ก็เพื่อฟลุ๊คว่า ถ้าภายใน 30 วันยังไม่สามารถลงมติเลือกบุคคลอื่นเป็นนายกฯได้ด้วยเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่ง นายอภิสิทธิ์ก็จะได้เป็นนายกฯทันที(รัฐธรรมนูญมาตรา 173) ทั้งที่ๆก่อนหน้านี้ พรรคชาติไทยได้ตกลงกับแกนนำประชาธิปัตย์บางคนว่า จะไม่เข้าร่วมประชุมสภาเพื่อเพื่อสกัดมิให้นายสมัครกลับมาเป็นนายกฯอีก ทั้งๆที่พรรคชาติไทยอ้างว่า มีมติหนุนพปช. แต่พรรคประชาธิปัตย์เปลี่ยนท่าทีในนาทีสุดท้าย โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาเป็นผู้ลงชื่อเข้าร่วมประชุมคนแรกๆของพรรค การกระทำของประชาธิปัตย์ทำให้พรรคชาติไทยมองว่า ประชาธิปัตย์หักหลัง "ส่วนอีกพรรคหนึ่งไม่ต้องพูด ถึงคิดว่าหวานคอแร้ง มั่นใจว่าจะได้เป็นนายกฯ แน่ เกมต่อเกมก็ต้องแก้เกมกัน แต่ตอนนี้มันก็จบแล้ว"เป็นหนึ่งในวลีของนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยที่กล่าวถึงประชาธิปัตย์แสดงให้เห็นความรู้สึกได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามแกนนำประชาธิปัตย์อ้างว่า ทำตามกติกาและหน้าที่และเสนอชื่อนายกฯตามสิทธิของพรรคฝ่ายค้าน สำหรับนายสมัคร เมื่อมิได้เป็นนายกฯแล้วก็มีสภาพเป็นเพียงชายชราคนหนึ่งที่จู้จี้ขี้บ่น จุกจิกขี้โมโห ต้องผจญกับวิบากกรรมที่ตัวเองก่อไว้อีกหลายเรื่องคือ คดีหมิ่นประมาท นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการ กทม. และการไต่สวนของป.ป.ช.คดีทุจริตการจัดซื้อรถดับเพลิงและเรือดับเพลิง กทม.มูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาทสมัยที่นายสมัคร เป็นผู้ว่าราชการ กทม.แม้คดีหมิ่นประมาทเมื่อเทียบกับคดีทุจริตการจัดซื้อรถดับเพลิงฯแล้วเบากว่ามาก แต่เป็นคดีที่นายสมัครต้องลุ้นตัวโก่งเพราะศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในวันที่ 25 กันยายนหรืออีกไม่ถึง 2 สัปดาห์ คดีดังกล่าว นายสมัครและนายดุสิต ศิริวรรณ อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ คู่หูตกเป็นจำเลยเพราะกล่าวหาว่า นายสามารถ มีพฤติการณ์ทุจริตในการก่อสร้างโครงการสะพานของ กทม. 16 โครงการ ซึ่งศาลอาญาพิพากษาเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2550 ให้จำคุกจำเลยทั้งสอง รวม 4 กระทง กระทงละ 6 เดือน รวมจำคุกคนละ 24 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ก่อนหน้านี้ นายสมัครได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนอ่านคำพิพากษาโดย อ้างว่า ต้องเดินทางไปประชุมสหประชาชาติที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกาในวันที่ 21 กันายนในฐานะนายกฯ แต่เมื่อนายสมัครต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯแล้ว จึงไม่รู้ว่า ศาลอาญา จะยอมเลื่อนอ่านคำพิพากษาหรือไม่ ประเด็นที่น่าสนใจคือ ถ้าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกนายสมัคร 24 เดือน โอกาสที่นายสมัคร จะต้องถูกจำคุกมีอยู่สูง แม้นายสมัครจะยืนยันว่า สามารถอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาโดยให้อัยการสูงสุดลงนามรับรองให้อุทธรณ์คดีต่อศาลฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้( ป.วิอาญา มาตรา 221บัญญัติว่า ในคดีซึ่งห้ามฎีกาไว้....อธิบดีกรมอัยการลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาว่า มีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัย ก็ให้รับฎีกานั้นไว้พิจารณาต่อไป) อย่างไรก็ตามคดีนี้ เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัวที่นายสามารถฟ้องนายสมัครโดยตรง พนักงานอัยการมิได้เกี่ยวข้อง ถ้านายชัยเกษม นิติศิริ อัยการสูงสุดยอมลงนามรับรองให้ จะทำให้เกิดข้อครหาว่า อัยการสูงสุดต้องการช่วยเหลือนายสมัครเป็นการส่วนตัว นอกจากนั้นที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ออกระเบียบที่ประชุมใหญ่ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2551 ว่า ให้ศาลฎีกาอาจไม่รับคดีที่อุทธรณ์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกาได้ ถ้าเห็นว่า การอุทธร์ดังกล่าวไม่เป็นสาระอันควรแก่แก่การพิจารณาไว้ในการพิจารณาพิพากษา(ระเบียบที่ประชุมใหญ่ว่าด้วยการไม่รับคดีซึ่งข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงที่อุทธรณ์หรือฎีกาจะไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณาไว้พิจารณาพิพากษา พ.ศ.2551) ดังนั้น ถ้าดูจากคดีหมิ่นประมาทของนายสมัครและนายดุสิตแล้วเห็นว่า ไม่มีความยุ่งยากซับซ้อนทั้งในเรื่องข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแต่อย่างใด รวมทั้งคำพิพากษามีมีเหตุมีผลชัดเจน การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนถึง 2 ศาล อาจเข้าเงื่อนไขที่ศาลฎีกาอาจไไม่รับคดีไว้พิจารณาได้ ดังนั้น ถ้าศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์ ก็หมายความว่า นายสมัครต้องถูกจำคุกทันที ต้องหลุดจากตำแหน่ง ส.ส.ด้วย นับเป็นกรรมของชายชราที่ชอบสาบถสาบานจนติดเป็นนิสัยและอาจเห็นผลของคำสาบานในบั้นปลายของชีวิต

วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2551

แล้วตอนเย็นละสมัครไปไหน

สมัครบินไปอุดรฯแล้ว ไร้วี่แววกังวลคดีชิมไปบ่นไป

นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม
ได้เดินทางไปเป็นประธานการประชุมอาเซียนเลคเชอร์ 2008 ที่กระทรวงการต่างประเทศ
พร้อมทั้งกล่าวปาฐกถาในหัวข้อ " อาเซียน : ศักราชใหม่ เพื่อประชาชน ”

ซึ่งการประชุมดังกล่าวเป็นการเตรียมความพร้อมในการที่ประเทศไทย

จะเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมอาเซี่ยนซัมมิทกลางเดือนธันวาคมนี้

ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้อยู่ร่วมงานดังกล่าวนานกว่า 45 นาที

ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ร่วมงานนายสมัคร ไม่ได้มีท่าทีเคร่งเครียดแต่อย่างใด
และยังได้ร่วมร้องเพลงไทยเดิมกับวงดนตรีไทยเดิมให้ทูตและผู้ร่วมงานได้ฟังด้วย
โดยนายกรัฐมนตรีร้องเพลงไทยเดิมทำนองเทพทอง และมีเนื้อหาเกี่ยวกับวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี
เมื่อเวลา 16.10 น. นายสมัครปฏิเสธที่จะตอบคำถามผู้สื่อข่าวกรณีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

นัดวินิจฉัยกรณีการจัดรายการชิมไปบ่นไป และรายการยกโขยง 6 โมงเช้า ในวันที่ 9 ก.ย.นี้
โดยกล่าวเพียงสั้นๆว่า" แล้วแต่ศาล ” จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เดินทาง
ออกจากกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อไปขึ้นเครื่องบิน เดินทางไป จ.อุดรธานี

“หอกหัก” โกหกคำโต! ยันไม่ใช่ลูกจ้างชิมไปฯ แค่รับเบี้ยเลี้ยงเป็นครั้งคราว






นายกฯ เข้าให้ปากคำคดี “ชิมไปบ่นไป” ตามคำร้องของวุฒิสมาชิก บิดเบือนต่อหน้าตุลาการ อ้างไม่ได้รับเงินเดือน แต่ได้รับค่าตอบแทนเป็นครั้งคราว จึงไม่ถือเป็นลูกจ้าง ตะแบงยันหลังรับตำแหน่งนายกฯ จัดรายการให้ฟรีๆ

วันนี้(8 ก.ย.)ที่ศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อเวลา 09.30 น.คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มี นายชัช ชลวร เป็นประธานได้ออกนั่งบัลลังก์ ไต่สวนพยานผู้ถูกร้องในคำร้องที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนา ส.ว.สรรหาและคณะส.ว. รวมทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี ของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เนื่องจากเป็นพิธีกรดำเนินรายการ "ชิมไปบ่นไป" ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) และมาตรา 267 ประกอบ 182 วรรคสาม และมาตรา 91 โดยพยานผู้ถูกร้องมี 2 ปากคือ นายศักดิ์ชัย แก้วมณีสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด และนายสมัคร ทั้งนี้ นายสมัคร ได้ขึ้นให้การโดยระบุว่า ได้เริ่มทำรายการ ชิมไปบ่นไป ตั้งแต่ปี 2543 โดยบริษัท เฟซมีเดีย จำกัด ได้มาชวนให้เป็นพิธีกร หลังจากนั้นก็ทำมาตอลด จนกระทั่งรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี


ในวันที่ 6 ก.พ. 2551 และหลังจากนั้นก็ได้บันทึกเทปรายการดังกล่าว 2-3 ครั้ง ซึ่งการบันทึกเทปครั้งหนึ่งก็สามารถนำไปออกอากาศได้ 1 เดือน โดยตนไม่ได้เรียกร้องค่าตอบแทน และไม่ได้รับค่าตอบแทนแต่อย่างใด นายสมัคร ให้การว่า ทางบริษัทได้จ่ายค่าน้ำมันและค่ากับข้าวให้กับคนขับรถของตน ซึ่งรายละเอียดนั้น เขาจะนำไปใช้จ่ายอย่างไรตนไม่ทราบ และหลังจากที่มีคนทักท้วงว่า อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ ตนก็ไม่ทำรายการดังกล่าวอีก โดยบอกให้รายการหาพิธีกรมาแทน แต่ที่ทำอยู่เพราะทนายบอกว่า เนื่องจากเป็นการรับจ้างไม่ใช่ลูกจ้าง จนกระทั่งมีข่าวลงตามหนังสือพิมพ์ ตนก็สั่งระงับการออกอากาศทันที รวมทั้งให้เก็บเทปบันทึกรายการ กลัวสถานีนำไปออกอากาศซ้ำอีก นายสมัคร ได้กล่าวสาบานว่า "ถ้าผมผิดจริง อย่าให้ผมมีความเจริญ แต่ถ้าไม่ได้ทำผิด ก็ขอให้ผมได้รับความสุขความเจริญ" เป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างขึ้นให้การต่อศาลนั้นนายสมัคร ได้มีท่าทีในการตอบคำซักถามของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.ระบบสรรหา ผู้ที่ร้องเรียนเรื่องดังกล่าวอย่างแข็งกร้าว พร้อมกับได้ยอกย้อนตอบคำถามเป็นบางคำถามอย่างดุดัน ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า
ภายหลังจากนายสมัคร ให้การต่อผู้ร้องเสร็จสิ้นแล้ว ทางองค์คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ได้สอบถามในประเด็นที่ยังสงสัย เพื่อต้องการให้พยานยืนยัน หรือ ปฎิเสธ
โดยศาลได้สอบถามนายสมัครว่านขับรถได้แจ้งพยานเกี่ยวกับเรื่องค่าตอบแทน หรือไม่ และคนขับรถได้นำเงินไปใช้ในเรื่องใดบ้าง
นายสมัครตอบว่า ไม่ทราบและไม่รู้ว่านำไปใช้เรื่องใด โดยนายสมัครจะอธิบายเกี่ยวกับคนขับรถ
ศาลได้ติงว่า ไม่จำเป็นต้องนำประเด็นข้อกฎหมาย มาหักล้างข้อเท็จจริง
นอกจากนั้น ระหว่างที่ศาลถาม และยังถามไม่จบ
นายสมัคร พยายามพูดแทรกออกมา
ศาลต้องติงว่า ขอให้ฟังคำถามให้จบก่อน ทำให้นายสมัคร ถึงกับแสดงอาการไม่พอใจ
ศาลได้ถามอีกว่า หลังเกิดเป็นคดีขึ้น พยาน(นายสมัคร)ได้ไปอัดเทปรายการที่บ้านของพยานและไม่ยอมให้สื่อมวลชนทำข่าว ใช่หรือไม่
นายสมัคร ตอบว่า ใช่ โดยอ้างว่า ไม่ต้องการให้วุ่นวายและตัดเรื่องค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับคนขับรถ
โดยศาลถามว่า หลังจากอัดรายการที่บ้านแล้ว คนขับรถยังได้รับค่าตอบแทนอยู่หรือไม่
นายสมัคร ตอบว่า ใช่ เนื่องจากเป็นเรื่องที่คนขับรถต้องใช้จ่าย แต่ไม่เกี่ยวกับตน อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่ศาลได้สอบถาม เกี่ยวกับพยานเอกสารที่ได้จากการถอดเทปรายการ สนทนาประสาสมัคร เพื่อให้พยานยืนยันว่า เป็นเอกสารที่ถูกต้องหรือไม่
พยานได้ถามศาลว่า แล้วมาเกี่ยวอะไรกับคดีนี้
ศาลแจ้งว่า เนื่องจาก พยานได้พูดเป็นข้อเท็จจริงในรายการเกี่ยวกับคดีนี้ไว้ จึงจำเป็นต้องนำมาประกอบการพิจารณา ทำให้นายสมัครทำเสียง อือ อือ และมีอาการไม่พอใจ ศาลยังได้ถามถึงเรื่อง ภาพโลโก้ รูปผู้ชายที่มีลักษณะจมูกรูปชมพู่
โดยศาลถามว่า เป็นรูปของพยานใช่หรือไม่
นายสมัคร ตอบว่าใช่ และอธิบายว่า เป็นรูปของตนที่คนทั้งประเทศรับรู้มาตั้งหลายปีแล้ว
จนกระทั่งนายสมัครให้การเสร็จเมื่อเวลาประมาณ 10.30 น. นายสมัคร ได้ขออนุญาตศาลออกจากห้องพิจารณาคดีเพื่อไปปฏิบัติภารกิจทันที และขึ้นรถออกไปจากศาลรัฐธรรมนูญอย่างรวดเร็ว
อ้างอิงจาก http://www.manager.co.th/Politics

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551

วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2551

สมัครเข้าเฝ้าในหลวง

'สมัคร'เข้าเฝ้าฯ'ในหลวง'
'พระเทพฯ'ทรงห่วงใยสถานการณ์ทรงให้สภากาชาดจัดแพทย์พร้อม


"สมัคร"บินเข้าเฝ้า "ในหลวง"ที่พระราชวังไกลกังวล สื่อมวลชนไทย-เทศแห่ตามเกาะติดลุ้นระทึกแถลงด่วน! ลือกระฉ่อนกองทัพบีบให้ลาออก-ยุบสภา “สมเด็จพระเทพฯ” ทรงห่วงใยเหตุการณ์ กำชับให้สภากาชาดไทย จัดเตรียมบุคลากรให้พร้อม ขณะที่ม็อบพันธมิตรฯ
ทั่วสารทิศยังปักหลักเหนียวแน่น ท่ามกลางบรรยากาศแออัดเลอะเทอะ กลิ่นอึ-ฉี่โชยตลบอบอวล แกนนำงัดแผนดาวกระจาย 7 จุดใหญ่ เตรียมให้ทนายฟ้อง เรียกค่าเสียหาย
ตร. 16 ล้านบาท ด้านม็อบเสื้อแดงโผล่รวมตัวสนามหลวง“รอง โฆษก ตร.” ยังไม่รู้ที่มาแก๊สน้ำตาปริศนา “ผบช.ส.”เผยอาวุธปืนหาย 11 กระบอก “พัลลภ” ระบุคนไทยต้องยอมรับ
ความเจ็บปวดเพื่ออนาคต ส่วนกลุ่มนักวิชาการรวมตัวหาทางออกให้ประเทศ เรียกร้องถอยคนละก้าว พรรค ปชป. ถือโอกาสถล่มซ้ำรัฐบาล ย้ำไม่มีเอี่ยวพันธมิตรฯ ด้านโหร คมช.
นิมิตเห็นรัฐบาลแห่งชาติ หลังจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ระดมพลบุกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล ตั้งแต่วันที่ 26 ส.ค. ที่ผ่านมากระทั่งยืดเยื้อมาถึงช่วงสายวันที่ 29 ส.ค. ตำรวจปราบจลาจลหลายกองร้อยถูกระดมเข้าไปช่วยเจ้าหน้าที่กองบังคับคดี ที่นำหมายศาลแพ่งไปปิดบริเวณรอบทำเนียบรัฐบาล 6 จุดเพื่อให้เคลื่อนย้ายการชุมนุม
ส่งผลให้เกิดการปะทะกันขึ้นหลายจุดทำให้มีผู้บาดเจ็บหลายรายโดยเฉพาะบริเวณเวทีสะพานมัฆวานฯ ตอนแรกตำรวจควบคุมพื้นที่ไว้ได้
แต่ตกเย็นพอกลุ่มผู้ชุมนุมทยอยเดินทางมาสมทบจำนวนมากจึงบุกเ ข้ายึดพื้นที่กลับคืนมาได้สำเร็จ นอกจากนี้ช่วงหัวค่ำม็อบบางส่วนไปรวมตัวกดดันที่หน้า บช.น. กระทั่งได้เกิด “แก๊สน้ำตา” ปริศนาขว้างใส่กลุ่มผู้ชุมนุมจึงล่าถอยไปรวมตัวกันอยู่ที่ทำเนียบฯ
มั่นใจว่าจะได้รับชัยชนะแน่นอน

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ประกาศจากท่านนายก


นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี



ย้ำว่า การดำเนินการต่างๆ

ของกลุ่มที่ออกมาก่อเหตุนั้น

เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ

พร้อมทั้งแต่งตั้ง พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

เป็นผู้ติดตามประสานงานต่อไป

พร้อมวิงวอนประชาชน

ให้ใช้วิจารณญาณในการติดตาม

สถานการณ์ในขณะนี้ด้วย

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2551

“นายกฯ” จ้องฮั้วทหารเปิดปั๊มดีเซลขายน้ำมันชั้นเลว

“สมัคร” โยนหินถามทาง ส่อฮั้วทหาร ไอเดียบรรเจิดหนุน 3 เหล่าเปิดปั๊มขายดีเซลรัสเซียชั้นเลว ขายเฉพาะเกษตรกร ประมง โวยจะไปใช้ของดีให้มันแพงไปทำไม
วันนี้ (24 ส.ค.) นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวในรายการสนทนาประสาสมัคร ถึงกรณีการนำเข้าน้ำมันดีเซลจากประเทศรัสเซีย ซึ่งราคาจะถูกกว่าในประเทศ 8 บาท/ลิตร ว่า ดำเนินการอยู่ แต่มีคนบอกว่าน้ำมันคุณภาพยังใช้ไม่ได้ เหมือนกับ 5 ปีก่อนเขาว่าอย่างนั้น คือ เขามีคนไม่อยากให้เราจะค้าขาย เขาจะเสียประโยชน์ เขาต้องหันหากำไรเยอะ เราก็บอกแล้วเวลาแพงล่ะ เพราะตอนนี้ลดราคาลงมายังเลิกบ่น“รถแทรกเตอร์ รถไถ รถต่างๆ พวกเกษตรเรือประมง ไปใช้ของดีเยี่ยมให้มันแพงไปทำไม ก็ไอ้ของที่เคยใช้เมื่อ 5 ปีก่อนมันถูกกว่า นี่ยิ่งถูกไปกว่า ก็ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรอื่นเลยครับ แต่ว่าของที่มันใช้มันเลวกว่า เพราะมันใช้ตามสภาพตามระดับ มันมีระดับของมันอยากจะใช้ของดีเอาไปเผาให้มันแพง คือ ใส่เครื่องป๊อกๆ อะไรต่างๆ ซึ่งมันใช้น้ำมันอย่างนั้นก็ได้ 5 ปีก่อนก็ใช้กันอยู่” นายสมัคร กล่าว นายสมัคร กล่าวอีกว่า แต่ปัจจุบันนี้ 5-6 ประเทศ รอบบ้านเราเขาใช้ แต่ของเราบอกต้องใช้ชั้นยอด น้ำมันต้องชั้นดี ตรงนี้ต้อง 0.9 0.035 ต้องใช้ให้ดี คือ ให้มันแพง ต้องการแพง พอเราขายถูกหน้างอไม่ยอม อยากจะอย่างโน้นอย่างนี้ ก็พยายามกันอยู่ อย่างไรก็ตาม ตนบอกว่าเรื่องนี้ต้องดู จะทำอย่างนี้ได้อย่างไร ทำอย่างนี้ได้อย่างไรมันไม่มีเหตุผล ตอนลงทุนก็ไปลงทุนจะทำถึงจะซื้อจะขายควรจะราคายุติธรรม ทำกับพม่า พม่าก็ต้องได้ ทำกับจีนก็ต้องได้ ทำกับลาวก็จะต้องได้ แต่ปรากฏว่า กำลังนี้ลงทุนไปแล้วเซ็นสัญญาไม่ได้เพราะอะไร เพราะมีการกดราคา นี่มันเรื่องที่ผมเป็นหัวหน้ารัฐบาลผมต้องรับผิดชอบ แต่ผมต้องคิด ผมไม่เลิกคิดครับ อย่างน้ำมันจะขาย เดี๋ยวจะขาย ขายราคาถูกกว่าลิตรละ 8 บาท เดี๋ยวจะมาส่งให้คนนี้ขาย จะมาส่งให้ทางนี้ขาย มารับมาขายเราต้องการ 20 เปอร์เซ็นต์เพื่อจะช่วยคนจน จะช่วยพวกเกษตรกร จะช่วยพวกรถบรรทุก เดี๋ยวจะมาขาย บอกในเมืองไม่ขาย ตรงนี้เกิดความคิดครับ นี่เป็นความคิดครับยังไม่ได้ทำ เดี๋ยวจะมาด่ากันอีก” นายสมัคร กล่าว
นายสมัคร กล่าวเสนอความคิดว่า ก่อนนี้ปั๊มน้ำมันอยู่ที่หลักเมือง ตราสามทหาร ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตราสามทหาร แต่ก่อนทหารเขาดูแลเรื่องน้ำมันมาก่อน เพิ่งจะไปเป็น ปตท.ก็ไม่นานมานี้ ตนยังคิดเลยว่าจะเอาน้ำมันเข้ามานี้ จะให้ทหารดูแลเสียรู้แล้วรู้รอดไป น้ำมันที่จะขายถูก 20 เปอร์เซ็นต์ ที่จะขายเกษตรกรขายอะไรนี้ ทหารเรือให้ไปดู ให้ไปขาย ให้พวกเรือประมงเลยทางนั้น ทางทหารบกไปขายเกษตร ทหารอากาศขายทางนั้น เพราะน้ำมันสำรองของเรา สำหรับฝ่ายทหารของเรานี้ มีได้ไม่กี่วัน แต่ถ้าลองให้ทหารเป็นคนขายน้ำมันอย่างแต่ก่อนนี้ น้ำมันสำรองจะมีได้เป็น 100 วัน ให้เขาสต๊อกของเขา เขามีแท็งก์ฟาร์มมีอะไรของเขา แล้วให้เขาเป็นคนขาย มีกำไรนิดหน่อย ให้สวัสดิการทหาร “นี่ผมคิดนะครับ มาคิดให้ฟังก่อน ผมจะรอดูสิจะมีใครแหกปากต่อต้านคัดค้านอะไรอย่างไรไหม ก็แต่ก่อนทหารก็ดูแลน้ำมัน นี่ 20 เปอร์เซ็นต์ ที่อยากจะขายให้คนที่ถูกกว่าลิตรละ 8 บาทนี้ ยังดำเนินการไม่ได้ ยังคัดยังค้านยังโน่นยังนี่ จะให้สเปกต่างๆ ร่ายเลย คนขายก็จะเอาสเปกดีมา บอกก็เอาของดีมาเผาไปใส่เครื่องยนต์เกษตร ทำไมจะทำทำไม ไม่ได้วิ่งในเมืองไม่ใช่น้ำมันดีเซลวิ่งอยู่ใจกลางเมืองยุโรปอะไรต่างๆ ต้องใช้กับเครื่องยูโรวัน ยูโรทู ยูโรทรี จนจะตายอยู่แล้วจะใช้ยูโรโฟร์ อย่างนี้นะครับ ผมก็คิดของผมอะไรต่างๆ นี่อย่างผมยังไม่ได้พูดกับทหารนะครับ แต่พูดกับเจ้าของประเทศก่อน ว่าผมจะลอง จะขอขาย 20 เปอร์เซ็นต์นี้ ให้ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ เป็นคนขายเลย ส่งให้พวกนี้ขายแล้วก็มีกำไรเล็กน้อยเป็นสวัสดิการทหาร ดูสิว่าเป็นอย่างไร ดูสิจะมีใครแหกปากอะไรอีก นี่คิดนะครับยังไม่ได้ทำ” นายสมัคร กล่าวโยนหินถามทางพร้อมกับท้าทาย

อ้างอิงจาก http://www.manager.co.th

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2551

จวก “สมัคร” ไม่ป้องกระบวนการยุติธรรม

จวก “สมัคร” ไม่ป้องกระบวนการยุติธรรม

ส่วนความเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย วันที่ 16 ส.ค. เมื่อ 10.00 น. นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวถึงการเคลื่อนไหวตามยุทธศาสตร์ดาวกระจายไปยังสถานทูตอังกฤษในวันที่ 19 ส.ค. ว่า กลุ่มผู้ชุมนุมจะนัดรวมตัวบริเวณสถานทูตอังกฤษ เวลา 10.00 น. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อไปชี้แจงกับทูตนานาประเทศ กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยกล่าวว่า กระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยไม่โปร่งใส กลุ่มพันธมิตรฯต้องไปชี้แจงทำเข้าใจว่า กระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนำผู้มีอำนาจทางการเมืองมาดำเนินคดีได้ การทำงานอย่างตรงไปตรงมาตัดสินคดีต่างๆ จากข้อมูลของ คตส.ที่ส่งให้ ป.ป.ช. และส่งไปให้ อัยการสูงสุดได้ตัดสิน ส่วนการเดินทางไปยังสถานทูตอังกฤษ ทางพันธมิตรฯจะเคลื่อนไปอย่างสงบสันติ นอกจากนี้ นายพิภพยังกล่าวตำหนินายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่ไม่ออกมาปกป้องกระบวนการยุติธรรม และปล่อยให้คนพรรคพลังประชาชนวิพากษ์วิจารณ์ รวมทั้งองค์กรอิสระในการทำหน้าที่ตรวจสอบคดีทุจริตต่างๆ

ตร.ไม่วิตกพันธมิตรฯเคลื่อนขบวน

ด้าน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เตรียมใช้ยุทธศาสตร์ดาวกระจายเพื่อเคลื่อนขบวนไปตามหน่วยงานราชการต่างๆ ในสัปดาห์หน้าว่า เป็นสิทธิ์ที่สามารถทำได้ ซึ่งตำรวจก็มีหน้าที่ที่จะต้องคอยดูแลความเรียบร้อย และเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นเพราะพูดมาหลายครั้งแล้วว่า จะดูแลให้อย่างเต็มที่จึงไม่ต้องวิตกกังวลอะไร เมื่อถามว่ากลุ่มพันธมิตรฯอาจนำเอากรณีการลี้ภัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาเป็นข้ออ้างในการเคลื่อนไหวหรือเรียกร้องต่างๆ จนเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้น
พล.ต.อ.พัชรวาทกล่าวว่า เรื่องนี้ตำรวจได้ทำทุกอย่างตามขั้นตอนของกฎหมายหมดแล้ว และไม่ได้ทำอะไรออกนอกหน้าที่หรือทำอะไรเป็นกรณีพิเศษ จึงไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้เกิดปัญหา ความรุนแรงขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง

อ้างอิงจาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ปีที่ 59 ฉบับที่ 18471 วันอาทิตย์ ที่ 17 สิงหาคม 2551
http://www.thairath.co.th/news.php?section=politics&content=100895

วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2551

แถลงการณ์ทักษิณ โบกมือลาแผ่นดินไทย

แถลงการณ์ทักษิณ โบกมือลาแผ่นดินไทย

วันอังคาร ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2551 09:05 น.เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ส่งแถลงการณ์จากลอนดอนประเทศอังกฤษเขียนด้วยลายมือตัวเอง อ้างถึงเหตุผลการไม่เดินทางกลับมาสู้คดีที่ประเทศไทย แถลงการณ์เรื่อง การไม่ไปรายงานตัวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง ก่อนอื่นกระผมต้องกราบขอประทานอภัยต่อคณะผู้พิพากษาคดีที่ดินรัชดาและพี่น้องประชาชนผู้สนับสนุนผมทุกผ่าน ที่ผมและภรรยาได้เดินทางมาพำนักที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศที่ยึดหลักการประชาธิปไตยเหนือสิ่งอื่นใด และไม่ได้ไปรายงานตัวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง
สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมและครอบครัว พร้อมกับบุคคลใกล้ชิดเป็นผลพวงต่อเนื่องมาจากความต้องการขจัดผมออกจากการเมือง ด้วยการพยายามลอบสังหาร ตามมาด้วยการปฏิวัติรัฐประหาร แต่งตั้งคณะบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์มาสอบสวนดำเนินคดีเฉพาะตัวผมและครอบครัว ร่างรัฐธรรมนูญที่สืบทอดอำนาจเผด็จการ แต่งตั้งบุคคลที่สนับสนุนการปฏิวัติรัฐประหารทั้งทางตรงและทางอ้อมเข้าไปเป็นกรรมการในองค์กรต่างๆ เพื่อดำเนินการกับผม
เมื่อมีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังคงเลือกพรรคพลังประชาชน ที่ผู้สมัครส่วนมากมาจากพรรคไทยรักไทยเดิมให้กลับคืนมาทำหน้าที่ตัวแทนของพวกเขา
ผมคิดว่าสถานการณ์คงจะดีขึ้น ผมคงจะมีโอกาสได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์และได้รับความเป็นธรรม จึงเดินทางกลับประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 แต่เหตุการณ์กลับยิ่งเลวร้ายลงเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวผมและครอบครัวเป็นเสมือนผลไม้ที่เกิดจากต้นไม้ที่เป็นพิษ ผลของมันก็ย่อมเป็นพิษตามไปด้วย นั่นก็คือ ยังคงมีการสืบทอดระบอบเผด็จการในการจัดการ การเมืองไทยในระบอบประชาธิปไตย ตามมาด้วยการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม โดยเอาผลลัพธ์ที่อยากจะได้เป็นตัวตั้ง เพื่อจัดการกับผมและครอบครัว ซึ่งบุคคลกลุ่มนี้ถือว่าผมเป็นศัตรูทางการเมือง โดยไม่คำนึงถึงระบบกฎหมาย ระบบข้อเท็จจริง และการสอบสวนดำเนินคดีตามหลักนิติธรรมสากล ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายว่าด้วยพยานหลักฐาน การบังคับใช้กฎหมายที่มีผลเป็นโทษย้อนหลัง ไม่ยอมใช้หลักนิติธรรมและหลักนิติรัฐ ผมและครอบครัวได้ถูกดำเนินการอย่างไม่เป็นธรรมเช่นนี้มาอย่างต่อเนื่อง การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และการใช้ระบบ 2 มาตรฐานที่เห็นได้อย่างชัดเจน ทำให้ผมและครอบครัว พร้อมด้วยผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ได้รับความเป็นธรรมก็นับว่าหนักหนาแล้ว แต่ยังเทียบไม่ได้กับคนที่ระบบกระบวนการยุติธรรมของประเทศและองค์กรที่เกี่ยวข้องที่มีเกียรติ มีความน่าเชื่อถือสั่งสมมาเป็นเวลายาวนานต้องเสื่อมลง เพราะถูกนำมาใช้ทางการเมือง จนความเป็นกลางซึ่งเป็นผลเสียหายต่อประเทศอย่างใหญ่หลวง
นอกจากนี้ ผมได้รับข่าวสารตลอดเวลาว่า ชีวิตของผมไม่ปลอดภัย เดินทางไปไหนมาไหนจึงต้องใช้รถกันกระสุนนี่คือผลที่ได้รับจากการที่ผมอาสาเข้ามาทำงานรับใช้ประเทศชาติ ราชบัลลังก์ และประชาชน ด้วยความทุ่มเททำงานอย่างหนักมาตลอดเวลาเกือบ 6 ปี ที่ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี
ผมจึงต้องกราบขออภัยอีกครั้งหนึ่งที่ต้องตัดสินใจอยู่ที่ประเทศอังกฤษและขอยืนยันว่า
1.ผมและครอบครัวมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ทุกพระองค์อย่างหาที่สุดมิได้ แม้ว่ามีผู้จงใจใส่ร้ายมาตลอด
2.ถึงแม้ผมไม่ใช่คนดีสมบูรณ์แบบ แต่ผมขอยืนยันว่าผมไม่ได้เลวอย่างที่ถูกกล่าวหา เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมผมจะแถลงความจริงให้ทุกท่านทราบ วันนี้ยังไม่ใช่วันของผม ขอให้ผู้สนับสนุนผมอดทนอีกนิดหนึ่งครับ
3.หากผมยังมีวาสนา ผมจะขอกลับมาตายบนผืนแผ่นดินไทยเฉกเช่นคนไทยทุกคนครับ

ด้วยความเคารพรัก
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร



อ้างอิงจาก หนังสือพิมพ์มติชน


วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2551

สมัคร เยือนจีน7-9สิงหาคม ร่วมเปิดโอลิมปิก2008พรุ่งนี้

สมัคร เยือนจีน7-9สิงหาคม ร่วมเปิดโอลิมปิก2008พรุ่งนี้

วัน พฤหัสบดี ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2551 11:42 น.นายกรัฐมนตรีไทย พร้อมคณะออกเดินทางวันนี้ เพื่อไปเยื่อนจีนอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 7-9 สิงหาคม พร้อมเข้าร่วมพิธีเปิดกี ฬาโอลิมปิก 2008 พรุ่งนี้ (8ส.ค.)
นายสมัคร สุนทรเวช(7ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 10.40 น. นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิโดย เที่ยวบิน TG614 ไปยังท่าอากาศยานนานาชาติ กรุงปักกิ่ง เพื่อเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน อย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 7-9 สิงหาคม 2551 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเข้าร่วมพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2008 ในวันที่ 8 สิงหาคม และถือโอกาสนี้เข้าพบหารือกับนายเวินเจียเป่า นายกรัฐมนตรีจีน


นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติ กรุงปักกิ่ง เวลา 16.20 น. ตามเวลาท้องถิ่น จากนั้นเวลา 17.10 น.นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปยังสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง เพื่อเฝ้าทูลละออง พระบาทรับเสด็จ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการพระราชทานเลี้ยงนักกีฬาและแขกชาวจีน ณ ทำเนียบเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง ส่วนในศุกร์ที่ 8 สิงหาคม ช่วงเช้า เวลา 7.50 น. นายกรัฐมนตรี เฝ้าทูลละอองพระบาท รับเสด็จ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ ที่ทำการแห่งใหม่ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง ต่อมา เวลา 8.18 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงวางศิลาฤกษ์อาคารที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง แห่งใหม่ เวลา 09.30 น. นายกรัฐมนตรี เดินทางไปยังมหาศาลาประชาชนเพื่อพบหารือกับนายเวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีจีน โดยในช่วงเที่ยง ประธานาธิบดีจีนเป็นเจ้าภาพเลี้ยง อาหารกลางวันต้อนรับเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีและผู้นำประเทศต่างๆ โดยสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงร่วมเป็นแขกในงานนั้น เวลา 14.00 น. นายกรัฐมนตรีเข้าพบหารือกับนายเจี่ย ชิ่งหลิน ประธานสภาที่ปรึกษาการเมืองแห่งชาติ ในช่วงบ่าย 15.00 น. นายกรัฐมนตรีและคณะเยี่ยมชมวัดหลิงกวง เวลา 20.00 น. นายกรัฐมนตรี และ นายสหัส บัณฑิตกุล รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปยังสนามกีฬา แห่งชาติ เพื่อชมพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ปักกิ่ง 2008 โดย สมเด็จพระเทพรัตนราช สุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงร่วมงาน ภายหลังเสร็จสิ้นพิธีเปิดการแข่งขัน เวลา 23.30 น. นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เฝ้าทูลละอองพระบาท กราบบังคมทูลลาสมเด็จพระเทพรัตน ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ โรงแรมที่ประทับ และในวันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม เวลา 08.30 น. นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางออกจากท่าอากาศยานนานาชาติ กรุงปักกิ่ง โดยเครื่องบินของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เที่ยวบินที่ TG 675 กลับกรุงเทพฯ ถึงท่าอากาศยาน สุวรรณภูมิ เวลา 12.40 น

อ้างอิงจาก หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://news.sanook.com/politic/politic_295001.php

วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

แฉที่แท้ กุ๊ย “ขวัญชัย” ครม. “หมัก” อนุมัติแต่งตั้งเป็น ขรก.การเมืองสังกัดสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี “ธีระชัย” ชงเรื่องเข้าที่ประชุม ครม.


แฉที่แท้ กุ๊ย “ขวัญชัย” ครม. “หมัก” อนุมัติแต่งตั้งเป็น ขรก.การเมืองสังกัดสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี “ธีระชัย”

ชงเรื่องเข้าที่ประชุม ครม. บอกเป็นคนมีความสามารถทำงานได้ ถูกดึงตัวไปช่วยงาน ก.เกษตรฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ www.thaigov.go.th ซึ่งเป็นเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล ได้จัดรวบรวมเผยแพร่ผลการประชุม ครม.แต่ละครั้ง และในการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 6 พ.ค.2551 ซึ่งมีวาระนำเข้าพิจารณาหลายวาระ แต่ที่น่าสนใจ คือ วาระการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี) โดยคณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอให้แต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี รวม 12 ราย ได้แก่
1.นายโสภณ โกชุม
2.นายถาวร เกียรติไชยากร
3.นายสุรสิทธิ์ วงศ์วิทยานันท์
4.นายไผ่ ลิกค์
5.นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ
6.นายโกวิทย์ ธรรมานุชิต
7.นายกล่ำคาน ปาทาน
8.นายณพจน์สกร ทรัพยสิทธิ์
9.นายสมพงษ์ พรหมกลาง
10.นายทนง บุษราคัม
11.นาย สยาม หัตถสงเคราะห์
12.นายขวัญชัย สาราคำ



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบุคคลทั้ง 12 คนที่ได้รับการแต่งตั้งนั้น ล้วนเป็น ส.ส.สอบตกและมีความใกล้ชิดกับนักการเมืองดังหลายคน เช่น นายณพจน์สกร ทรัพยสิทธิ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.นครพนม
และเป็นน้องชายนายอรรถสิทธิ์ (คันคาย) ทรัพยสิทธิ์ อดีต ส.ส.นครพนม
นายถาวร เกียรติไชยากร อดีตผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ พรรคพลังประชาชน
นายภักดีหาญส์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคพลังประชาชน
และเป็นกลุ่ม กทม.ของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นายไผ่ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชาชน และบุตรชายนายเรืองวิทย์ ลิกค์ อดีต ส.ส.หลายสมัยของ จ.กำแพงเพชร

แต่ที่น่าสนใจ คือ นายขวัญชัย สาราคำ ชื่อตามบัตรประชาชน หรือที่รู้จักกันในนาม ขวัญชัย ไพรพนา แกนนำกลุ่มคนรักอุดรฯ ที่นำมวลชนกว่า 700 คนเข้าทำร้ายกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่สวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม อ.เมือง จ.อุดรธานี
เมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมาได้รับการแต่งตั้งด้วย แหล่งข่าวจากข้าราชการประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีที่ได้รับแต่งตั้ง เปิดเผยว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งตำแหน่งเทียบเท่าข้าราชการซี 8 ได้รับเงินเดือน 27,000 บาทต่อเดือน ส่วนหน้าที่ในการทำงานแล้วแต่จะได้รับมอบหมายจากเลขาธิการนายกฯ แต่ส่วนใหญ่บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งอาจจะถูกขอตัวไปช่วยงานในแต่ละกระทรวง ขณะที่บางคนทำงานอยู่ที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ส่วนกรณีนายขวัญชัย ที่ได้รับแต่งตั้งนั้นทราบมาว่านายธีระชัย แสนแก้ว รมช.เกษตรและสหกรณ์ เป็นคนเสนอชื่อนายขวัญชัยเข้าสู่ที่ประชุม ครม.เพื่อให้มารับในตำแหน่งดังกล่าว เนื่องจากมองว่าเป็นบุคคลที่มีความสามารถทำงานได้ เป็นนักจัดรายการวิทยุที่อุดรธานี ซึ่งปัจจุบันนายขวัญชัยถูกดึงตัวไปช่วยงานที่กระทรวงเกษตรฯบ้างในบางครั้ง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตนไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการแต่งตั้งข้าราชการประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และไม่ทราบว่าตามระเบียบข้าราชการพลเรือนให้อำนาจหน้าที่ทำอะไรบ้าง เมื่อถามว่าบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งนั้นมีเงินเดือนหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ได้รับเงินเดือน เพราะตำแหน่งดังกล่าวถือเป็นข้าราชการการเมือง




อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์ 28 กรกฎาคม 2551 05:51 น.

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000088284

วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ปชป.ไล่ 'สมัคร' ลาออกแทนแก้ รธน.

ปชป.ไล่ 'สมัคร' ลาออกแทนแก้ รธน.
เมื่อวันที่ 20 ก.ค. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวตอบโต้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่กล่าวในรายการ “สนทนาประสาสมัคร” ยืนยันจแก้รัฐธรรมนูญว่า นายสมัครแสดงทัศนคติในเรื่องนี้อย่างเด่นชัด ต้องการที่จะแก้ให้ได้ เพราะมองว่ารัฐธรรมนูญปี 50 เป็นศัตรูและเป็นอุปสรรคในการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งๆที่รัฐธรรมนูญปี 50 ไม่ได้ร้ายกาจหรือเป็นอุปสรรคอะไรเลย เนื้อหากว่า 90% มาจากรัฐธรรมนูญปี 40 และผ่านการทำประชามติ นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงเนื้อหาบางส่วนให้ดีขึ้น โดยเฉพาะการอุดช่องโหว่เรื่ององค์กรอิสระ เชื่อว่าผู้ที่ร่างรัฐธรรมนูญคงไม่ได้คาดคิดว่าเมื่อร่างเสร็จแล้วใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาล แต่นายสมัครทึกทักเอาเองว่าผู้ร่างทำการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาเป็นกับดักเพื่อล้มล้างรัฐบาลชุดนี้ “ถ้านายสมัครเห็นว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นอุปสรรค ผมขอเสนอให้นายสมัครลาออก เพื่อเปิดทางให้บุคคลอื่นมาบริหารประเทศแทน จะไดพิสูจน์ว่ารัฐธรรมนูญปี 50 เป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการจริงหรือไม่”

ท้าส่งศาล รธน.ตีความสถานะ ป.ป.ช.

นายสาธิต ปิตุเตชะ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเสริมว่า กรณีที่นายสมัครระบุว่า ป.ป.ช.เป็นองค์กรที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนั้น เป็นสิทธิของนายสมัครที่จะมองอย่างนั้น และคงเป็นเพราะ ป.ป.ช.กำลังทำคดีที่นายสมัครและคนของพรรคพลังประชาชนไปทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อ อีกทั้ง ป.ป.ช.ชุดนี้ไม่ สามารถแทรกแซงสั่งการได้ นายสมัครจึงปลุกระดมว่าองค์กรนี้ไม่มีความชอบธรรม แต่สำหรับตนเห็นว่า ป.ป.ช. มาโดยถูกต้อง แม้จะมาจากการแต่งตั้งของคณะปฏิวัติ แต่ก็เป็นผู้ที่มีอำนาจในขณะนั้น อีกทั้งมีรัฐธรรมนูญมาตรา 309 มารองรับองค์กรเหล่านี้ด้วย อย่างไรก็ตามถ้านายสมัครเห็นว่า ป.ป.ช.มีที่มาโดยไม่ชอบ ก็สามารถส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานะของ ป.ป.ช.ได้

ได้ฤกษ์ยื่นถอดถอน “ชัย” 23 ก.ค.

นายสาธิตยังกล่าวถึงความคืบหน้าการยื่นถอดถอนนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ถือหุ้นโรงโม่หินศิลาชัย บริษัทที่ได้รับประทานบัตรจากรัฐว่า รัฐธรรมนูญ มาตรา 265 (2) มีเจตนารมณ์ชัดเจนว่าไม่ให้ผู้ถือหุ้นที่เป็นสมาชิกรัฐสภา คู่สมรส หรือบุตร เข้าไปหาประโยชน์ หรือแทรกแซงการบริหารให้เกิดประโยชน์ในบริษัท ทั้งนี้ ยืนยันว่าการยื่นเรื่องดังกล่าวไม่ใช่การจะมาฆ่ากันให้ตาย แต่เป็นการดำเนินการเพื่อให้เป็นบรรทัดฐานต่อไป ซึ่งการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญนั้นมี 2 ช่องทางที่จะดำเนินการ โดยในวันที่ 23 ก.ค. เวลา 09.30 น. จะประสานไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อยื่นเรื่องดังกล่าว แต่ถ้านายชัยไม่รับเรื่อง ก็จะไปยื่นเรื่องต่อ กกต.เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป สำหรับรายชื่อขณะนี้ที่ต้องรวบรวมให้ได้ 1 ใน 10 ของสภาฯ คือ 48 คนนั้น ตอนนี้รวบรวมได้ 30 คนแล้ว คาดว่าจะสามารถเข้าชื่อยื่นได้ครบตามจำนวนแน่นอน


อ้างอิงจาก http://www.thairath.co.th/news.php?section=politics&content=97749
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ปีที่ 59 ฉบับที่ 18444 วันจันทร์ ที่ 21 กรกฎาคม 2551

วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

“สมัคร” ยุบสภาหลังงบ 50 ผ่าน




นายศรีราชา เจริญพานิช เลขานุการผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) กล่าวถึงแนวโน้มนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาเพื่อแก้ปัญหาการเมืองในขณะนี้ว่า ไม่มีใครพูดถึงการยุบสภา โดยเฉพาะนักการเมือง เพราะนักการเมืองไม่เสี่ยงที่จะลงเลือกตั้งใหม่ แม้สถานการณ์การเมืองจะอยู่ในภาวะง่อนแง่น แต่เชื่อว่าสุดท้ายคงต้องมีการยุบสภาแน่ ซึ่งไม่ใช่ตอนนี้ พรรคการเมืองต้องประวิงเวลาไปถึงการเปิดสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ เพื่อผ่านงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2552 เพราะจะต้องรับผิดชอบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน หากงบประมาณฯไม่ผ่านจะมีปัญหาต้องใช้งบประมาณฯ ปี 2551 จากนั้นไม่นานนายกรัฐมนตรีคงประกาศยุบสภา เพราะถึงทางตันทางการเมืองแล้ว เมื่อถามว่า จะเกิดรัฐประหารเหมือน 19 ก.ย. 2549 อีกหรือไม่ นายศรีราชาตอบว่า สถานการณ์การเมืองในขณะนี้เกิดความแตกแยกออกเป็น 2 ขั้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัว อะไรก็เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แม้ไม่ชอบรัฐประหาร แต่เมื่อสถานการณ์การเมืองแก้ไขไม่ได้ก็ต้องทำ เมื่อทำรัฐประหารแล้วจะเกิดผลดีมากกว่าผลลบ โดยเฉพาะความเชื่อมั่นของต่างชาติต่อประเทศไทย










“ชูศักดิ์” เบรก ส.ว.เอาผิด ครม.
นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าวถึง กรณีที่นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา และ น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. เตรียมยื่นดำเนินคดีเอาผิด ครม.ทั้งคณะต่อ ป.ป.ช.ในวันที่ 14 ก.ค.ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา กรณีกระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ว่า ไม่มีปัญหา เป็นสิทธิของ ส.ว. แต่กรณีที่ ส.ว.จะเอาผิดกับ ครม.ทั้งคณะ ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 นั้น กฎหมาย ป.ป.ช.ระบุว่า ผู้ยื่นจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดนั้นๆ กรณีนี้ ส.ว.จึงไม่น่าจะใช่ ผู้เสียหาย เพราะยังไม่มีความเสียหายอะไรเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับการตีความของ ป.ป.ช.ว่า ส.ว.เป็นผู้เสียหายในกรณีนี้หรือไม่ ไม่อยากไปโต้แย้ง เพราะจะถูกกล่าวหาว่าไปตัดสิทธิ แต่อยากให้ ส.ว.ดูกฎหมายให้ดี อย่าไปตีความกฎหมายจนเกินเลย บ้านเมืองจะไปไม่รอด นอกจากนี้ การจะเอาผิดตามมาตรา 157 นั้น ครม. ต้องมีเจตนาทุจริต แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ แต่การที่ ครม.มีมติรับรองในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา
เป็นการทำโดยสุจริต ไม่มีเจตนาทุจริต การลงนามในแถลงการณ์ ดังกล่าว
โยนบาปรัฐบาล “สุรยุทธ์” ตามเคย
นายชูศักดิ์กล่าวว่า ส่วนที่ ครม.ไม่ส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญเนื่องจากในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เคยมีการส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความมาตรา 190 วรรคสองมาแล้ว แต่คณะกรรมการกฤษฎีกาไม่รับพิจารณา โดยบอกว่ามาตราดังกล่าวอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมกับตั้งข้อสังเกตกลับมาด้วยว่า มาตราดังกล่าวจะเป็นปัญหาต่อการบริหารงานในอนาคต จึงควรหาบรรทัดฐานที่ชัดเจนในมาตราดังกล่าว ขณะที่รัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์เองก็ไม่เห็นด้วยกับมาตรา 190 เช่นกัน โดยบอกว่าเป็นการเขียนในกรอบที่กว้างเกินไป สุดแล้วแต่ใครจะตีความออกมาอย่างไร และจะกลายเป็นอุปสรรคของการบริหารประเทศในอนาคต แต่ก็ได้สอบถามเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และอธิบดีกรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ในที่ประชุม ครม.ได้รับคำยืนยันว่าไม่เข้าข่ายรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ที่ต้องส่งให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบ เมื่อ ครม. มีหน้าที่ก็ต้องวินิจฉัย แต่เมื่อทำไปแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าไม่ถูกต้อง เราก็เคารพในคำวินิจฉัย เพราะจะได้ถือเป็นบรรทัดฐานในการตีความ แต่ยืนยันว่า ครม. ได้ดำเนินการทุกอย่างรอบคอบแล้ว
“เฉลิม” ไม่สนฝ่ายค้านยื่นถอดถอน
วันที่ 12 ก.ค. ที่หนองคายและสกลนคร ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ได้มอบนโยบายการปฏิบัติงานให้กับหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนันและผู้ใหญ่บ้านภายหลังมอบนโยบาย ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ที่มาตรวจราชการในภาคอีสาน เป็นการตั้งใจไว้ก่อนแล้วว่า ถ้าสภาปิดก็จะมาภาคอีสาน เพราะตอนมาหาเสียงได้รับปากกับชาวอีสานไว้ว่า ถ้าได้เป็น รมว. มหาดไทยจะมาเยี่ยม ไม่มีนัยอื่น อีกทั้งในช่วงนั้นไม่ได้มีการลาออกหรือพ้นจากตำแหน่งของ 3 รัฐมนตรี ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ตัดสินอะไร แต่กำหนดไว้ก่อน ส่วนการที่ ส.ส.และ ส.ว.จะยื่นถอดถอนนายกฯนั้น มองว่าแต่ละส่วนมีมุมมองของตนเอง การเมืองมีมุมมอง ต่างคนต่างคิด สมมติว่าจะมายื่นถอดถอน ถ้าบอกว่าไม่ต้องมาถอด ไม่ต้องมาถอน ลาออกก่อน แล้วไปโหวตก็เลือกนายสมัครมาเป็นนายกฯใหม่ ทำได้ไหม ก็ไม่เห็นมีอะไรห้าม จะถอดถอนก็หมายความว่าส่อจงใจปฏิบัติขัดรัฐธรรมนูญ แต่นี่ไม่ได้จงใจ ไม่ได้มีเจตนา แต่ขณะนี้ก็ยังไม่ได้หารือกับนายกฯเลย
ชอบใจไปไหนก็มีคนมาประท้วง
รมว.มหาดไทยกล่าวว่า สำหรับการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯที่กระจายไปทุกที่ ส.ส.และรัฐมนตรีหลายคนก็โดนประท้วง การกระทำเหล่านี้นำพาไปสู่การเมืองระดับโลก การเคลื่อนไหวก็ดี การประท้วงก็ดี แต่อย่าข่มขู่ ข่าวออกไปก็ไม่ดี เอาแค่ขึ้นป้ายก็พอแล้ว ตอนนี้กำลังจะกลายเป็นประธานาธิบดีจอร์จ บุช คนที่ 2 แล้ว เพราะไปที่ไหนก็มีคนประท้วง ชอบใจ โดยที่ไม่ได้สั่งการอะไรเจ้าหน้าที่ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ บอกเพียงว่าอย่าไปเผชิญหน้า คนเชียร์มาอีกทาง ใครไม่เห็นด้วยก็ให้เจ้าหน้าที่เอาไปไว้อีกทาง ก็เรียบร้อยไม่มีปัญหา
สุดท้ายภาคอีสานพรรคพลังประชาชนก็ยึดหมด กลุ่มพันธมิตรฯที่ออกมาต่อต้านหรือขึ้นเวที ล้วนแต่เป็น ส.ส.สอบตกทั้งนั้น พวกนี้เปรียบเหมือนมะพร้าว คั้นจนไม่เหลือกะทิ เอาไปแกงไม่ได้แล้ว หากจะมองว่าเป็นเกมการเมืองหรือไม่ ที่พอรัฐมนตรีไปไหนก็จะมีการประท้วงนั้น บังเอิญว่ารัฐมนตรีชุดนี้มีน้ำอดน้ำทนเยอะ ไม่คิดว่าการประท้วงจะเป็นการดิสเครดิตอะไร เพราะคนที่มาประท้วงมาไม่กี่คน แล้วไปโกหกว่ามีหลายพันคน อย่างที่ จ.เลยนับให้ตายก็มีไม่เกิน 100 คน แล้วคนที่มาก็ยังไม่รู้มาร้องตะโกน “เฉลิมออกไป สมัครออกไป ทักษิณออกไป” ก็ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้เป็นรัฐบาล จะให้ออกไปได้อย่างไร
ปลอบ ชท.-มฌ.อย่าหวั่นยุบพรรค
ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน กล่าวถึงกรณีที่คณะทำงานร่วมระหว่างตัวแทนคณะกรรมการการเลือกตั้งและอัยการสูงสุด มีมติให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาคดียุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตยว่า เรื่องนี้ทุกพรรคการเมืองไม่ควรต้องวิตก เพราะการดำเนินการที่เกิดขึ้นของศาล ไม่สามารถทำลายอำนาจนิติบัญญัติ หรืออำนาจฝ่ายบริหารได้ แม้ศาลจะตัดสินให้มีการยุบพรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาฯหรือพรรคพลังประชาชน รัฐธรรมนูญยังมีทางออกให้เดินหน้าการเมืองต่อไป โดย ส.ส.ทั้งหมดไม่ควรกลัวหรือหวั่นไหว ต้องจับมือกันให้เหนียวแน่นผูกเกลียวรวมตัวกันอย่าให้แตกหัก แล้วไปหาพรรคใหม่สังกัด หรือร่วมกันตั้งพรรคใหม่ พรรคพลังประชาชนพร้อมที่จะไปตั้งพรรคใหม่ร่วมกับพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาฯ แล้วไปดำเนินการเลือกนายกฯใหม่ในสภา ส.ส.ที่ขาดไปนั้นไม่กระทบต่อรัฐบาล เพราะสามารถเลือกตั้งซ่อมแล้วกลับเข้ามาเหมือนเดิม ดังนั้นมั่นใจว่าถ้าพรรคร่วมไม่วิตก แล้วกอดคอจับมือกันให้แน่น เราจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ และจะเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับการเมืองคือ อำนาจตุลาการไม่สามารถทำลายฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารได้ อย่าไปเดินเกมตามคำพิพากษาที่จะทำให้เกิดทางตันหรือการเมืองหยุดชะงัก เราต้องเดินตามทางออกของรัฐธรรมนูญ
ดึง รมต.คนนอกลบภาพ ครม.ขี้เหร่
.ท.กุเทพกล่าวว่า เป็นเรื่องที่ดีที่ศาลได้มีการสร้างบรรทัดฐานในหลายๆเรื่อง ในทางเดียวกันรัฐบาลและพรรคพลังประชาชนจะสร้างบรรทัดฐานใหม่เช่นกัน คือการยืนยันไม่ยุบสภา และจะไม่มีการลาออก แต่ยอมรับว่าอำนาจตุลาการมีผลต่อการเมืองมาก ดังนั้น ถ้ารัฐบาลต้องลาออกด้วยผลจากคำตัดสินของศาลตลอดนั้น คงเป็นบรรทัดฐานที่ไม่ดี ทางที่ดีคือเราจะสู้ตามช่องทางที่รัฐธรรมนูญได้เปิดไว้ให้ ส่วนเรื่องการปรับ ครม.นั้น ยืนยันว่าในพรรคไม่มีการวิ่งเต้นเพื่อให้ได้ตำแหน่งแน่นอน และพรรคยินดีที่จะเปิดประตูรับคนดีมีฝีมือเข้ามาเสนอตัวด้วย อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่าอำนาจการปรับ ครม. ทั้งหมด อยู่ที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และตอนนี้ก็ถือเป็นโอกาสที่ในการปรับ ครม. เพื่อที่จะได้ทีมงานชุดใหม่ที่ดีที่สุดเข้ามาบริหาร
เร่ง กมธ.ทำคลอด ก.ม.ประชามติ
นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.อยุธยา พรรคพลังประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่าง พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการทำประชามติ สภาผู้แทน ราษฎร กล่าวถึงกรณีพรรคพลังประชาชนได้เร่งให้คณะกรรมาธิการฯเร่งพิจารณากฎหมาย โดยเพิ่มวันประชุมจากสัปดาห์ละ 1 วัน เป็นสัปดาห์ละ 2 วัน ว่าในฐานะเลขานุการที่ประชุม ส.ส.พรรคพลังประชาชน เห็นว่าต้องเร่งพิจารณากฎหมายฉบับนี้ ที่เปรียบเหมือนแสงสว่าง ที่ปลายอุโมงค์ ที่จะสามารถผ่าทางตันทางการเมืองได้ เพราะเมื่อกฎหมายฉบับนี้เสร็จจะทำให้แก้ไขรัฐธรรมนูญได้ เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวว่าถ้ากฎหมายประชามติเสร็จแล้ว นายกฯอาจอ้างเหตุยุบสภาโดยให้มีการเลือกตั้งใหม่ และทำประชามติรัฐธรรมนูญแก้ไขหรือไม่แก้ไปพร้อมกัน นายวิทยาตอบว่า เป็นประเด็น แต่ไม่อยากให้คิดแบบนั้น เพราะที่คณะกรรมาธิการเร่งพิจารณาเนื่องจากจะมีกรรมาธิการส่วนหนึ่งไปศึกษาดูงานต่างประเทศ และเราต้องการให้กฎหมายเสร็จเพื่อที่จะเข้าสู่การพิจารณาในวาระ 2 และ 3 ในช่วงเปิดสมัยประชุมสภาสมัยสามัญนิติบัญญัติในวันที่ 1 ส.ค.นี้
ครม.ถูกถอดถอน พปช.ก็ยังอยู่ได้
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคพลังประชาชน กล่าวถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ เตรียมยื่นถอดถอนรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ที่ได้ร่วมลงมติ ครม.เห็นชอบเรื่องแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาว่า เรื่องนี้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ พูดทำนองว่าไม่พบรายละเอียดมติ ครม. เหมือนว่ารัฐบาลได้ลบรายละเอียดหรือแก้ไขไปแล้ว และถ้าฝ่ายค้านยื่นถอดถอน ครม.ทั้งคณะรวมถึงนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯและ รมว.กลาโหม ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชาชน เราไม่กลัวตราบเท่าที่ ส.ส.ในพรรครวมกันแน่น เพราะถ้าถูกถอดถอนจริง พรรคพลังประชาชนยังเหลือ ส.ส. 200 คน และยังมีกรรมการบริหารพรรคบางส่วนที่ไม่ได้ เป็นรัฐมนตรียังอยู่ แล้วจับมือกับพรรคร่วมฟอร์ม ครม.ใหม่ได้ แต่ยากตรงที่คนจะมาเป็นนายกฯ แทนนายสมัครจะเป็นใคร ต้องเป็นคนที่เป็น ส.ส.ด้วย และเป็นที่ยอมรับ จะทำให้รัฐบาลเดินหน้าบริหารประเทศไปได้
พระเกจิทำนายรัฐบาลอยู่ครบเทอม
“เมื่อเร็วๆนี้ได้ไปดูดวงเมืองกับพระสงฆ์ระดับเกจิอายุ 72 พรรษา ที่นายสมัครเคยไปดูดวงในสมัยก่อนเป็นผู้ว่าฯ กทม. ท่านทำนายว่านายสมัครจะได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. ในที่สุดได้เป็นผู้ว่าฯ กทม.จริง ครั้งนี้พระรูปนี้ดูดวงเมืองว่าหลังพ้นวันที่ 9 ส.ค.นี้ไปแล้ววิกฤติการเมืองจะคลี่คลาย และทำให้รัฐบาลอยู่ครบเทอม ส่วนนายกฯจะอยู่ครบวาระ 4 ปีหรือไม่ เรื่องนี้ไม่ทราบ เพราะไม่ได้ สอบถามพระรูปดังกล่าว” นายสุรพงษ์กล่าวและว่า ส่วนกรณีที่พรรคพลังประชาชนเตรียมยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ทันทีที่เปิดประชุมสภาสมัยสามัญนิติบัญญัตินั้น โดยสิทธิ ส.ส.สามารถร่วมลงชื่อเสนอญัตติได้ แต่ไม่สามารถหยิบยกขึ้นมาได้ เพราะมีขบวนการคอยจ้องถล่ม เหมือนกรณีที่มีกระแสข่าวรัฐบาลจะปฏิวัติตัวเองเพื่อหาช่องล้มคดีทุกกรณี โดยมีคนนำไปพูดไม่ให้รัฐบาลปฏิวัติตัวเองเนื่องจากเห็นนายกฯใกล้ชิดกับทหาร ทั้งที่ความจริงรัฐบาลไม่เคยคิดที่จะปฏิวัติตัวเอง ดังนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องรอผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาและแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อน ถึงจะเดินหน้าแก้รัฐ-ธรรมนูญได้



อ้างอิงจาก http://www.thairath.co.th/news.php?section=politics&content=96816

วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

สมัครปัดกุข่าวถูกจับ [5 ก.ค. 51 - 04:06]







จากการที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์
ระหว่างเดินทางไปเยือนประเทศจีน
และบรูไนว่าจะถูกจับกุมตัวทันทีที่ลงจากเครื่องบิน เรื่องนี้ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนานา
ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่นั้น ล่าสุดนายกรัฐมนตรีได้ออกมาพูดอีกว่าเป็นการพูดเตือนไปจากเมืองไทย

“สมัคร” กลับถึงไทยไร้เหตุร้าย

เมื่อวันที่ 4 ก.ค. เวลา 15.40 น. ที่ท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม พร้อมด้วย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. นายธีรพล นพรัมภา เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เดินทางกลับถึงประเทศไทยด้วยเครื่องบินกองทัพอากาศ ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน และประเทศบรูไน อย่างเป็นทางการ โดยบริเวณท่า อากาศยานและพื้นที่โดยรอบ ไม่มีการเสริมกำลังทหาร หรือตำรวจ เพิ่มเติมจากปกติ รวมไปถึงทีมงานรักษาความปลอดภัยของนายกรัฐมนตรี แม้ว่าก่อนหน้านี้นายสมัครได้พูดถึงประเด็นการจับกุมตัวนายกรัฐมนตรีบริเวณสนามบินก็ตาม นอกจากนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าการเดินทางกลับของนายสมัครครั้งนี้ นายไชยา
สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข ได้ปรากฏตัวบริเวณห้องรับรองในท่า
อากาศยานด้วย อ้างมีคนบอกว่าจะถูกจับที่สนามบิน


นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและ รมว. กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องที่พูดก่อนหน้านี้ว่าจะมีการจับตัวนายกรัฐมนตรีทันทีที่ลงจากเครื่อง แสดงให้เห็นว่าอำนาจนอกระบบ ความพยายามนอกระบบจะมีผลต่อตัวนายกรัฐมนตรีว่า “ไม่ ผมไม่กลัว แต่ผมอยู่ทางโน้นมีคนโทรศัพท์ไปบอก เล่าให้ฟัง มีคนไปแสดงความหวาดวิตก ผมไม่กลัวจะถูกจับกุมตัว ก็เลยบอกว่าไม่มีเหตุผลเท่านั้นเอง กรุณาฟังให้ดีก่อนไปเขียนข่าว เขาบอกว่าผมจะถูกศาลออกหมายจับแล้วศาลจะตัดสินคดีความ ผมจึงบอกว่า จะแจ้งข่าวลือก็ให้แนบเนียนหน่อย ทางศาลต้องแจ้งผมก่อนจะอ่านความ จะอ่านคดี ถ้าไปก็ไปนั่งฟังธรรมดา ถ้าผมไม่ไป 2-3 ครั้ง ศาลออกหมายจับ ศาลอ่านลับหลัง แต่นี่ออกข่าวไปว่าศาลจะอ่านแล้ว จัดการแล้ว แล้วจับจะไม่ให้เป็นนายกฯต่อไป คิดอะไรกันอย่างนี้ จึงคิดดังๆย้อนกลับมาเท่านั้นเอง จะได้ไม่ต้องมีอะไรกัน ให้มันจบม้วนเดียวกัน”

โบ้ยนักข่าวตั้งคำถามนำให้พูด

เมื่อถามว่า มองว่าเป็นการจับตัวเพื่อรัฐประหารหรือไม่

นายสมัครตอบว่า อธิบายแล้ว ฟังไม่เข้าใจหรือพูดหยกๆชัดเจน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ใครเป็นคนปล่อยข่าวให้นายกฯเสียหาย

นายสมัครตอบว่าไม่ปล่อยข่าวหรอก คนที่เป็นนักข่าวได้ถามว่า ได้ทราบข่าวนี้หรือเปล่า พอถามว่าข่าวอะไร เขาก็บอกแชต แชต แชต ผมบอกว่า ถ้าจะเอาข่าวมาปล่อยกับผม ก็ควรให้มันแนบเนียนหน่อยเท่านั้นเอง”

เมื่อถามว่า กำหนดการที่จะลงที่ บน.6 แต่ ทำไมมีข่าวว่าจะจับกุมตัวที่สนามบินสุวรรณภูมิ

นายสมัครตอบว่า ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด ที่ บน.6 มาเครื่องบินนี้ไม่ลงสุวรรณภูมิหรอก

ว้ากใส่อย่าให้ร้ายกองทัพ

เมื่อถามว่า ไม่เชื่อใจในการรักษาความปลอดภัยของกองทัพอากาศใช่หรือไม่

นายสมัครตอบอย่างไม่พอใจว่า “คุณอย่าพูดอย่างนี้”

ผู้สื่อข่าวรีบออกตัวว่า จะโดนด่าใช่หรือไม่

นายสมัครตอบว่า โดนด่าแน่นอน เพราะยังไม่ได้พูดสักคำ

เมื่อผู้สื่อข่าวชี้แจงว่า ต้องการถามให้เคลียร์

นายสมัครตอบสวนว่า “จะเคลียร์อะไร คุณพูดอย่างนี้ต้องการจะให้ร้ายกองทัพอากาศ
คุณอย่าพูดอย่างนี้ ต่อไปอย่าพูดอีก พูดอย่างนี้เป็นการดูแคลนกองทัพอากาศ”

เมื่อถามว่า ที่ถามเพื่อต้องการให้เกิดความเข้าใจกัน

นายสมัครตอบว่า ไม่มีปัญหา ตนมา พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผบ.ทอ. ก็มาส่ง กลับมาก็คุยกัน
เรื่องเครื่องบิน เรื่องสมรรถภาพเครื่องบินและคุยกันเรื่องอาหารที่มาเลี้ยงตอนขาไป
มันมีอะไรผิดปกติ




เมื่อถามว่า สภาพการเมืองกำลังร้อน

นายสมัครย้อนถามว่า ร้อนตรงไหน ใครมันเอาเตาไปใส่ไว้ใต้ใคร


อ้างอิงจาก หนังสือพิพ์ไทยรัฐปีที่ 59 ฉบับที่ 18429 วันอาทิตย์ ที่ 6 กรกฎาคม 2551








แล้วเพือนๆล่ะ คิดว่าการเมืองตอนนี้เป็นอย่างไรถ้าจาให้เปรียบกับบางสิ่ง


เช่นว่า เปรียบเหมือนอากาศตอนนี้การเมืองก็คงใกล้มีพายุละมั้ง เพราะช่วงนี้ร้องอบอ้าวเหลือเกิน 555
ยิ่งกว่ามีคนเอาเตาไปไว้ใต้อีกนะเนี้ย


แล้วเพื่อนๆล่ะคิด........ยังไงจ้า? ? ? ? ? ? ? ?



วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2551

การเมืองไทยวันนี้……ช่างน่าเบื่อซะเหลือเกิ้นนนนนนนนน

น่าเบื่อตรงไหนนะหรอ ก็อ่านะ คุณลองคิดดูล่ะกันไม่ว่าจะกลุ่มพันธมิตรที่สุดแสนจะวุ่นวาย และที่กำลังฮือฮากันอยู่ช่วงสองสามวันนี้ก็จะหนีไม่พ้นเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯทำเอาไฟฟ้าแทบไม่พอถึงขั้นต้องหยุดถ่ายทอดสดกันไปเลย (ก็ไม่ใช่อะไรหรอกก็กำลังดูแบบมันส์ๆเลยอ่านะ)
และทางเราจึงได้นำรายงานผลสำรวจความคิดเห็นความเบื่อหน่ายของประชาชนกันขนาดไหน วันนี้เราจึงได้นำผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนพื้นที่กทม

โพลชี้คนเบื่อหน่ายความวุ่นวาย [25 มิ.ย. 50 - 04:44]
วันที่ 24 มิ.ย. สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ได้รายงานผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล 1,245 คน ระหว่างวันที่ 22-24 มิ.ย.
สรุปได้ว่า ในหัวข้อเรื่องที่ประชาชนอยากให้ทำ “โพล” ในสถานการณ์ปัจจุบัน คือ
ร้อยละ 26.62 อยากให้สำรวจว่าการเมืองควรเป็นอย่างไร เพราะต้องการเห็นการเมืองที่บริสุทธิ์ อยากให้บ้านเมืองสงบสุข เพราะวันนี้มีแต่ความวุ่นวาย
ร้อยละ 23.58 อยากทราบว่าจะแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างไร เพราะสถานการณ์เริ่มรุนแรงขึ้น
ร้อยละ 15.20 อยาก ทราบปัจจัยที่มีผลต่อเศรษฐกิจ เพราะต้องการทราบถึงความคืบหน้า และการดำเนินการแก้ไขด้านเศรษฐกิจ นอกจากนั้น ก็อยากทราบความเห็นของคนในชาติ เรื่องการชุมนุมขับไล่ คมช. เพราะอยากรู้ว่าการชุมนุมแต่ละครั้ง เสียงบประมาณเท่าไรในการดูแล และอยากเห็นบ้านเมืองสงบสุข ตามมาด้วยการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ดีแล้วหรือไม่ เพราะมีบางประเด็นที่เอื้ออำนาจแก่ คมช.มากไป และอยากทราบเรื่องการเลือกตั้ง และบุคคลที่ประชาชนอยากได้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่

แล้วเพื่อนๆล่ะค่ะคิดอย่างไรกับการเมืองวันนี้…………………………………………….


อ้างอิงจาก สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต

คลังบทความของบล็อก