วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

แฉที่แท้ กุ๊ย “ขวัญชัย” ครม. “หมัก” อนุมัติแต่งตั้งเป็น ขรก.การเมืองสังกัดสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี “ธีระชัย” ชงเรื่องเข้าที่ประชุม ครม.


แฉที่แท้ กุ๊ย “ขวัญชัย” ครม. “หมัก” อนุมัติแต่งตั้งเป็น ขรก.การเมืองสังกัดสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี “ธีระชัย”

ชงเรื่องเข้าที่ประชุม ครม. บอกเป็นคนมีความสามารถทำงานได้ ถูกดึงตัวไปช่วยงาน ก.เกษตรฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ www.thaigov.go.th ซึ่งเป็นเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล ได้จัดรวบรวมเผยแพร่ผลการประชุม ครม.แต่ละครั้ง และในการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 6 พ.ค.2551 ซึ่งมีวาระนำเข้าพิจารณาหลายวาระ แต่ที่น่าสนใจ คือ วาระการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี) โดยคณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอให้แต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี รวม 12 ราย ได้แก่
1.นายโสภณ โกชุม
2.นายถาวร เกียรติไชยากร
3.นายสุรสิทธิ์ วงศ์วิทยานันท์
4.นายไผ่ ลิกค์
5.นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ
6.นายโกวิทย์ ธรรมานุชิต
7.นายกล่ำคาน ปาทาน
8.นายณพจน์สกร ทรัพยสิทธิ์
9.นายสมพงษ์ พรหมกลาง
10.นายทนง บุษราคัม
11.นาย สยาม หัตถสงเคราะห์
12.นายขวัญชัย สาราคำ



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบุคคลทั้ง 12 คนที่ได้รับการแต่งตั้งนั้น ล้วนเป็น ส.ส.สอบตกและมีความใกล้ชิดกับนักการเมืองดังหลายคน เช่น นายณพจน์สกร ทรัพยสิทธิ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.นครพนม
และเป็นน้องชายนายอรรถสิทธิ์ (คันคาย) ทรัพยสิทธิ์ อดีต ส.ส.นครพนม
นายถาวร เกียรติไชยากร อดีตผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ พรรคพลังประชาชน
นายภักดีหาญส์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคพลังประชาชน
และเป็นกลุ่ม กทม.ของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นายไผ่ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชาชน และบุตรชายนายเรืองวิทย์ ลิกค์ อดีต ส.ส.หลายสมัยของ จ.กำแพงเพชร

แต่ที่น่าสนใจ คือ นายขวัญชัย สาราคำ ชื่อตามบัตรประชาชน หรือที่รู้จักกันในนาม ขวัญชัย ไพรพนา แกนนำกลุ่มคนรักอุดรฯ ที่นำมวลชนกว่า 700 คนเข้าทำร้ายกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่สวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม อ.เมือง จ.อุดรธานี
เมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมาได้รับการแต่งตั้งด้วย แหล่งข่าวจากข้าราชการประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีที่ได้รับแต่งตั้ง เปิดเผยว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งตำแหน่งเทียบเท่าข้าราชการซี 8 ได้รับเงินเดือน 27,000 บาทต่อเดือน ส่วนหน้าที่ในการทำงานแล้วแต่จะได้รับมอบหมายจากเลขาธิการนายกฯ แต่ส่วนใหญ่บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งอาจจะถูกขอตัวไปช่วยงานในแต่ละกระทรวง ขณะที่บางคนทำงานอยู่ที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ส่วนกรณีนายขวัญชัย ที่ได้รับแต่งตั้งนั้นทราบมาว่านายธีระชัย แสนแก้ว รมช.เกษตรและสหกรณ์ เป็นคนเสนอชื่อนายขวัญชัยเข้าสู่ที่ประชุม ครม.เพื่อให้มารับในตำแหน่งดังกล่าว เนื่องจากมองว่าเป็นบุคคลที่มีความสามารถทำงานได้ เป็นนักจัดรายการวิทยุที่อุดรธานี ซึ่งปัจจุบันนายขวัญชัยถูกดึงตัวไปช่วยงานที่กระทรวงเกษตรฯบ้างในบางครั้ง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตนไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการแต่งตั้งข้าราชการประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และไม่ทราบว่าตามระเบียบข้าราชการพลเรือนให้อำนาจหน้าที่ทำอะไรบ้าง เมื่อถามว่าบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งนั้นมีเงินเดือนหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ได้รับเงินเดือน เพราะตำแหน่งดังกล่าวถือเป็นข้าราชการการเมือง




อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์ 28 กรกฎาคม 2551 05:51 น.

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000088284

วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ปชป.ไล่ 'สมัคร' ลาออกแทนแก้ รธน.

ปชป.ไล่ 'สมัคร' ลาออกแทนแก้ รธน.
เมื่อวันที่ 20 ก.ค. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวตอบโต้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่กล่าวในรายการ “สนทนาประสาสมัคร” ยืนยันจแก้รัฐธรรมนูญว่า นายสมัครแสดงทัศนคติในเรื่องนี้อย่างเด่นชัด ต้องการที่จะแก้ให้ได้ เพราะมองว่ารัฐธรรมนูญปี 50 เป็นศัตรูและเป็นอุปสรรคในการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งๆที่รัฐธรรมนูญปี 50 ไม่ได้ร้ายกาจหรือเป็นอุปสรรคอะไรเลย เนื้อหากว่า 90% มาจากรัฐธรรมนูญปี 40 และผ่านการทำประชามติ นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงเนื้อหาบางส่วนให้ดีขึ้น โดยเฉพาะการอุดช่องโหว่เรื่ององค์กรอิสระ เชื่อว่าผู้ที่ร่างรัฐธรรมนูญคงไม่ได้คาดคิดว่าเมื่อร่างเสร็จแล้วใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาล แต่นายสมัครทึกทักเอาเองว่าผู้ร่างทำการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาเป็นกับดักเพื่อล้มล้างรัฐบาลชุดนี้ “ถ้านายสมัครเห็นว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นอุปสรรค ผมขอเสนอให้นายสมัครลาออก เพื่อเปิดทางให้บุคคลอื่นมาบริหารประเทศแทน จะไดพิสูจน์ว่ารัฐธรรมนูญปี 50 เป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการจริงหรือไม่”

ท้าส่งศาล รธน.ตีความสถานะ ป.ป.ช.

นายสาธิต ปิตุเตชะ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเสริมว่า กรณีที่นายสมัครระบุว่า ป.ป.ช.เป็นองค์กรที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนั้น เป็นสิทธิของนายสมัครที่จะมองอย่างนั้น และคงเป็นเพราะ ป.ป.ช.กำลังทำคดีที่นายสมัครและคนของพรรคพลังประชาชนไปทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อ อีกทั้ง ป.ป.ช.ชุดนี้ไม่ สามารถแทรกแซงสั่งการได้ นายสมัครจึงปลุกระดมว่าองค์กรนี้ไม่มีความชอบธรรม แต่สำหรับตนเห็นว่า ป.ป.ช. มาโดยถูกต้อง แม้จะมาจากการแต่งตั้งของคณะปฏิวัติ แต่ก็เป็นผู้ที่มีอำนาจในขณะนั้น อีกทั้งมีรัฐธรรมนูญมาตรา 309 มารองรับองค์กรเหล่านี้ด้วย อย่างไรก็ตามถ้านายสมัครเห็นว่า ป.ป.ช.มีที่มาโดยไม่ชอบ ก็สามารถส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานะของ ป.ป.ช.ได้

ได้ฤกษ์ยื่นถอดถอน “ชัย” 23 ก.ค.

นายสาธิตยังกล่าวถึงความคืบหน้าการยื่นถอดถอนนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ถือหุ้นโรงโม่หินศิลาชัย บริษัทที่ได้รับประทานบัตรจากรัฐว่า รัฐธรรมนูญ มาตรา 265 (2) มีเจตนารมณ์ชัดเจนว่าไม่ให้ผู้ถือหุ้นที่เป็นสมาชิกรัฐสภา คู่สมรส หรือบุตร เข้าไปหาประโยชน์ หรือแทรกแซงการบริหารให้เกิดประโยชน์ในบริษัท ทั้งนี้ ยืนยันว่าการยื่นเรื่องดังกล่าวไม่ใช่การจะมาฆ่ากันให้ตาย แต่เป็นการดำเนินการเพื่อให้เป็นบรรทัดฐานต่อไป ซึ่งการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญนั้นมี 2 ช่องทางที่จะดำเนินการ โดยในวันที่ 23 ก.ค. เวลา 09.30 น. จะประสานไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อยื่นเรื่องดังกล่าว แต่ถ้านายชัยไม่รับเรื่อง ก็จะไปยื่นเรื่องต่อ กกต.เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป สำหรับรายชื่อขณะนี้ที่ต้องรวบรวมให้ได้ 1 ใน 10 ของสภาฯ คือ 48 คนนั้น ตอนนี้รวบรวมได้ 30 คนแล้ว คาดว่าจะสามารถเข้าชื่อยื่นได้ครบตามจำนวนแน่นอน


อ้างอิงจาก http://www.thairath.co.th/news.php?section=politics&content=97749
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ปีที่ 59 ฉบับที่ 18444 วันจันทร์ ที่ 21 กรกฎาคม 2551

วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

“สมัคร” ยุบสภาหลังงบ 50 ผ่าน




นายศรีราชา เจริญพานิช เลขานุการผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) กล่าวถึงแนวโน้มนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาเพื่อแก้ปัญหาการเมืองในขณะนี้ว่า ไม่มีใครพูดถึงการยุบสภา โดยเฉพาะนักการเมือง เพราะนักการเมืองไม่เสี่ยงที่จะลงเลือกตั้งใหม่ แม้สถานการณ์การเมืองจะอยู่ในภาวะง่อนแง่น แต่เชื่อว่าสุดท้ายคงต้องมีการยุบสภาแน่ ซึ่งไม่ใช่ตอนนี้ พรรคการเมืองต้องประวิงเวลาไปถึงการเปิดสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ เพื่อผ่านงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2552 เพราะจะต้องรับผิดชอบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน หากงบประมาณฯไม่ผ่านจะมีปัญหาต้องใช้งบประมาณฯ ปี 2551 จากนั้นไม่นานนายกรัฐมนตรีคงประกาศยุบสภา เพราะถึงทางตันทางการเมืองแล้ว เมื่อถามว่า จะเกิดรัฐประหารเหมือน 19 ก.ย. 2549 อีกหรือไม่ นายศรีราชาตอบว่า สถานการณ์การเมืองในขณะนี้เกิดความแตกแยกออกเป็น 2 ขั้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัว อะไรก็เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แม้ไม่ชอบรัฐประหาร แต่เมื่อสถานการณ์การเมืองแก้ไขไม่ได้ก็ต้องทำ เมื่อทำรัฐประหารแล้วจะเกิดผลดีมากกว่าผลลบ โดยเฉพาะความเชื่อมั่นของต่างชาติต่อประเทศไทย










“ชูศักดิ์” เบรก ส.ว.เอาผิด ครม.
นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าวถึง กรณีที่นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา และ น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. เตรียมยื่นดำเนินคดีเอาผิด ครม.ทั้งคณะต่อ ป.ป.ช.ในวันที่ 14 ก.ค.ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา กรณีกระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ว่า ไม่มีปัญหา เป็นสิทธิของ ส.ว. แต่กรณีที่ ส.ว.จะเอาผิดกับ ครม.ทั้งคณะ ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 นั้น กฎหมาย ป.ป.ช.ระบุว่า ผู้ยื่นจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดนั้นๆ กรณีนี้ ส.ว.จึงไม่น่าจะใช่ ผู้เสียหาย เพราะยังไม่มีความเสียหายอะไรเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับการตีความของ ป.ป.ช.ว่า ส.ว.เป็นผู้เสียหายในกรณีนี้หรือไม่ ไม่อยากไปโต้แย้ง เพราะจะถูกกล่าวหาว่าไปตัดสิทธิ แต่อยากให้ ส.ว.ดูกฎหมายให้ดี อย่าไปตีความกฎหมายจนเกินเลย บ้านเมืองจะไปไม่รอด นอกจากนี้ การจะเอาผิดตามมาตรา 157 นั้น ครม. ต้องมีเจตนาทุจริต แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ แต่การที่ ครม.มีมติรับรองในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา
เป็นการทำโดยสุจริต ไม่มีเจตนาทุจริต การลงนามในแถลงการณ์ ดังกล่าว
โยนบาปรัฐบาล “สุรยุทธ์” ตามเคย
นายชูศักดิ์กล่าวว่า ส่วนที่ ครม.ไม่ส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญเนื่องจากในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เคยมีการส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความมาตรา 190 วรรคสองมาแล้ว แต่คณะกรรมการกฤษฎีกาไม่รับพิจารณา โดยบอกว่ามาตราดังกล่าวอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมกับตั้งข้อสังเกตกลับมาด้วยว่า มาตราดังกล่าวจะเป็นปัญหาต่อการบริหารงานในอนาคต จึงควรหาบรรทัดฐานที่ชัดเจนในมาตราดังกล่าว ขณะที่รัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์เองก็ไม่เห็นด้วยกับมาตรา 190 เช่นกัน โดยบอกว่าเป็นการเขียนในกรอบที่กว้างเกินไป สุดแล้วแต่ใครจะตีความออกมาอย่างไร และจะกลายเป็นอุปสรรคของการบริหารประเทศในอนาคต แต่ก็ได้สอบถามเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และอธิบดีกรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ในที่ประชุม ครม.ได้รับคำยืนยันว่าไม่เข้าข่ายรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ที่ต้องส่งให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบ เมื่อ ครม. มีหน้าที่ก็ต้องวินิจฉัย แต่เมื่อทำไปแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าไม่ถูกต้อง เราก็เคารพในคำวินิจฉัย เพราะจะได้ถือเป็นบรรทัดฐานในการตีความ แต่ยืนยันว่า ครม. ได้ดำเนินการทุกอย่างรอบคอบแล้ว
“เฉลิม” ไม่สนฝ่ายค้านยื่นถอดถอน
วันที่ 12 ก.ค. ที่หนองคายและสกลนคร ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ได้มอบนโยบายการปฏิบัติงานให้กับหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนันและผู้ใหญ่บ้านภายหลังมอบนโยบาย ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ที่มาตรวจราชการในภาคอีสาน เป็นการตั้งใจไว้ก่อนแล้วว่า ถ้าสภาปิดก็จะมาภาคอีสาน เพราะตอนมาหาเสียงได้รับปากกับชาวอีสานไว้ว่า ถ้าได้เป็น รมว. มหาดไทยจะมาเยี่ยม ไม่มีนัยอื่น อีกทั้งในช่วงนั้นไม่ได้มีการลาออกหรือพ้นจากตำแหน่งของ 3 รัฐมนตรี ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ตัดสินอะไร แต่กำหนดไว้ก่อน ส่วนการที่ ส.ส.และ ส.ว.จะยื่นถอดถอนนายกฯนั้น มองว่าแต่ละส่วนมีมุมมองของตนเอง การเมืองมีมุมมอง ต่างคนต่างคิด สมมติว่าจะมายื่นถอดถอน ถ้าบอกว่าไม่ต้องมาถอด ไม่ต้องมาถอน ลาออกก่อน แล้วไปโหวตก็เลือกนายสมัครมาเป็นนายกฯใหม่ ทำได้ไหม ก็ไม่เห็นมีอะไรห้าม จะถอดถอนก็หมายความว่าส่อจงใจปฏิบัติขัดรัฐธรรมนูญ แต่นี่ไม่ได้จงใจ ไม่ได้มีเจตนา แต่ขณะนี้ก็ยังไม่ได้หารือกับนายกฯเลย
ชอบใจไปไหนก็มีคนมาประท้วง
รมว.มหาดไทยกล่าวว่า สำหรับการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯที่กระจายไปทุกที่ ส.ส.และรัฐมนตรีหลายคนก็โดนประท้วง การกระทำเหล่านี้นำพาไปสู่การเมืองระดับโลก การเคลื่อนไหวก็ดี การประท้วงก็ดี แต่อย่าข่มขู่ ข่าวออกไปก็ไม่ดี เอาแค่ขึ้นป้ายก็พอแล้ว ตอนนี้กำลังจะกลายเป็นประธานาธิบดีจอร์จ บุช คนที่ 2 แล้ว เพราะไปที่ไหนก็มีคนประท้วง ชอบใจ โดยที่ไม่ได้สั่งการอะไรเจ้าหน้าที่ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ บอกเพียงว่าอย่าไปเผชิญหน้า คนเชียร์มาอีกทาง ใครไม่เห็นด้วยก็ให้เจ้าหน้าที่เอาไปไว้อีกทาง ก็เรียบร้อยไม่มีปัญหา
สุดท้ายภาคอีสานพรรคพลังประชาชนก็ยึดหมด กลุ่มพันธมิตรฯที่ออกมาต่อต้านหรือขึ้นเวที ล้วนแต่เป็น ส.ส.สอบตกทั้งนั้น พวกนี้เปรียบเหมือนมะพร้าว คั้นจนไม่เหลือกะทิ เอาไปแกงไม่ได้แล้ว หากจะมองว่าเป็นเกมการเมืองหรือไม่ ที่พอรัฐมนตรีไปไหนก็จะมีการประท้วงนั้น บังเอิญว่ารัฐมนตรีชุดนี้มีน้ำอดน้ำทนเยอะ ไม่คิดว่าการประท้วงจะเป็นการดิสเครดิตอะไร เพราะคนที่มาประท้วงมาไม่กี่คน แล้วไปโกหกว่ามีหลายพันคน อย่างที่ จ.เลยนับให้ตายก็มีไม่เกิน 100 คน แล้วคนที่มาก็ยังไม่รู้มาร้องตะโกน “เฉลิมออกไป สมัครออกไป ทักษิณออกไป” ก็ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้เป็นรัฐบาล จะให้ออกไปได้อย่างไร
ปลอบ ชท.-มฌ.อย่าหวั่นยุบพรรค
ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน กล่าวถึงกรณีที่คณะทำงานร่วมระหว่างตัวแทนคณะกรรมการการเลือกตั้งและอัยการสูงสุด มีมติให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาคดียุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตยว่า เรื่องนี้ทุกพรรคการเมืองไม่ควรต้องวิตก เพราะการดำเนินการที่เกิดขึ้นของศาล ไม่สามารถทำลายอำนาจนิติบัญญัติ หรืออำนาจฝ่ายบริหารได้ แม้ศาลจะตัดสินให้มีการยุบพรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาฯหรือพรรคพลังประชาชน รัฐธรรมนูญยังมีทางออกให้เดินหน้าการเมืองต่อไป โดย ส.ส.ทั้งหมดไม่ควรกลัวหรือหวั่นไหว ต้องจับมือกันให้เหนียวแน่นผูกเกลียวรวมตัวกันอย่าให้แตกหัก แล้วไปหาพรรคใหม่สังกัด หรือร่วมกันตั้งพรรคใหม่ พรรคพลังประชาชนพร้อมที่จะไปตั้งพรรคใหม่ร่วมกับพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาฯ แล้วไปดำเนินการเลือกนายกฯใหม่ในสภา ส.ส.ที่ขาดไปนั้นไม่กระทบต่อรัฐบาล เพราะสามารถเลือกตั้งซ่อมแล้วกลับเข้ามาเหมือนเดิม ดังนั้นมั่นใจว่าถ้าพรรคร่วมไม่วิตก แล้วกอดคอจับมือกันให้แน่น เราจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ และจะเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับการเมืองคือ อำนาจตุลาการไม่สามารถทำลายฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารได้ อย่าไปเดินเกมตามคำพิพากษาที่จะทำให้เกิดทางตันหรือการเมืองหยุดชะงัก เราต้องเดินตามทางออกของรัฐธรรมนูญ
ดึง รมต.คนนอกลบภาพ ครม.ขี้เหร่
.ท.กุเทพกล่าวว่า เป็นเรื่องที่ดีที่ศาลได้มีการสร้างบรรทัดฐานในหลายๆเรื่อง ในทางเดียวกันรัฐบาลและพรรคพลังประชาชนจะสร้างบรรทัดฐานใหม่เช่นกัน คือการยืนยันไม่ยุบสภา และจะไม่มีการลาออก แต่ยอมรับว่าอำนาจตุลาการมีผลต่อการเมืองมาก ดังนั้น ถ้ารัฐบาลต้องลาออกด้วยผลจากคำตัดสินของศาลตลอดนั้น คงเป็นบรรทัดฐานที่ไม่ดี ทางที่ดีคือเราจะสู้ตามช่องทางที่รัฐธรรมนูญได้เปิดไว้ให้ ส่วนเรื่องการปรับ ครม.นั้น ยืนยันว่าในพรรคไม่มีการวิ่งเต้นเพื่อให้ได้ตำแหน่งแน่นอน และพรรคยินดีที่จะเปิดประตูรับคนดีมีฝีมือเข้ามาเสนอตัวด้วย อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่าอำนาจการปรับ ครม. ทั้งหมด อยู่ที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และตอนนี้ก็ถือเป็นโอกาสที่ในการปรับ ครม. เพื่อที่จะได้ทีมงานชุดใหม่ที่ดีที่สุดเข้ามาบริหาร
เร่ง กมธ.ทำคลอด ก.ม.ประชามติ
นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.อยุธยา พรรคพลังประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่าง พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการทำประชามติ สภาผู้แทน ราษฎร กล่าวถึงกรณีพรรคพลังประชาชนได้เร่งให้คณะกรรมาธิการฯเร่งพิจารณากฎหมาย โดยเพิ่มวันประชุมจากสัปดาห์ละ 1 วัน เป็นสัปดาห์ละ 2 วัน ว่าในฐานะเลขานุการที่ประชุม ส.ส.พรรคพลังประชาชน เห็นว่าต้องเร่งพิจารณากฎหมายฉบับนี้ ที่เปรียบเหมือนแสงสว่าง ที่ปลายอุโมงค์ ที่จะสามารถผ่าทางตันทางการเมืองได้ เพราะเมื่อกฎหมายฉบับนี้เสร็จจะทำให้แก้ไขรัฐธรรมนูญได้ เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวว่าถ้ากฎหมายประชามติเสร็จแล้ว นายกฯอาจอ้างเหตุยุบสภาโดยให้มีการเลือกตั้งใหม่ และทำประชามติรัฐธรรมนูญแก้ไขหรือไม่แก้ไปพร้อมกัน นายวิทยาตอบว่า เป็นประเด็น แต่ไม่อยากให้คิดแบบนั้น เพราะที่คณะกรรมาธิการเร่งพิจารณาเนื่องจากจะมีกรรมาธิการส่วนหนึ่งไปศึกษาดูงานต่างประเทศ และเราต้องการให้กฎหมายเสร็จเพื่อที่จะเข้าสู่การพิจารณาในวาระ 2 และ 3 ในช่วงเปิดสมัยประชุมสภาสมัยสามัญนิติบัญญัติในวันที่ 1 ส.ค.นี้
ครม.ถูกถอดถอน พปช.ก็ยังอยู่ได้
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคพลังประชาชน กล่าวถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ เตรียมยื่นถอดถอนรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ที่ได้ร่วมลงมติ ครม.เห็นชอบเรื่องแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาว่า เรื่องนี้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ พูดทำนองว่าไม่พบรายละเอียดมติ ครม. เหมือนว่ารัฐบาลได้ลบรายละเอียดหรือแก้ไขไปแล้ว และถ้าฝ่ายค้านยื่นถอดถอน ครม.ทั้งคณะรวมถึงนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯและ รมว.กลาโหม ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชาชน เราไม่กลัวตราบเท่าที่ ส.ส.ในพรรครวมกันแน่น เพราะถ้าถูกถอดถอนจริง พรรคพลังประชาชนยังเหลือ ส.ส. 200 คน และยังมีกรรมการบริหารพรรคบางส่วนที่ไม่ได้ เป็นรัฐมนตรียังอยู่ แล้วจับมือกับพรรคร่วมฟอร์ม ครม.ใหม่ได้ แต่ยากตรงที่คนจะมาเป็นนายกฯ แทนนายสมัครจะเป็นใคร ต้องเป็นคนที่เป็น ส.ส.ด้วย และเป็นที่ยอมรับ จะทำให้รัฐบาลเดินหน้าบริหารประเทศไปได้
พระเกจิทำนายรัฐบาลอยู่ครบเทอม
“เมื่อเร็วๆนี้ได้ไปดูดวงเมืองกับพระสงฆ์ระดับเกจิอายุ 72 พรรษา ที่นายสมัครเคยไปดูดวงในสมัยก่อนเป็นผู้ว่าฯ กทม. ท่านทำนายว่านายสมัครจะได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. ในที่สุดได้เป็นผู้ว่าฯ กทม.จริง ครั้งนี้พระรูปนี้ดูดวงเมืองว่าหลังพ้นวันที่ 9 ส.ค.นี้ไปแล้ววิกฤติการเมืองจะคลี่คลาย และทำให้รัฐบาลอยู่ครบเทอม ส่วนนายกฯจะอยู่ครบวาระ 4 ปีหรือไม่ เรื่องนี้ไม่ทราบ เพราะไม่ได้ สอบถามพระรูปดังกล่าว” นายสุรพงษ์กล่าวและว่า ส่วนกรณีที่พรรคพลังประชาชนเตรียมยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ทันทีที่เปิดประชุมสภาสมัยสามัญนิติบัญญัตินั้น โดยสิทธิ ส.ส.สามารถร่วมลงชื่อเสนอญัตติได้ แต่ไม่สามารถหยิบยกขึ้นมาได้ เพราะมีขบวนการคอยจ้องถล่ม เหมือนกรณีที่มีกระแสข่าวรัฐบาลจะปฏิวัติตัวเองเพื่อหาช่องล้มคดีทุกกรณี โดยมีคนนำไปพูดไม่ให้รัฐบาลปฏิวัติตัวเองเนื่องจากเห็นนายกฯใกล้ชิดกับทหาร ทั้งที่ความจริงรัฐบาลไม่เคยคิดที่จะปฏิวัติตัวเอง ดังนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องรอผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาและแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อน ถึงจะเดินหน้าแก้รัฐ-ธรรมนูญได้



อ้างอิงจาก http://www.thairath.co.th/news.php?section=politics&content=96816

วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

สมัครปัดกุข่าวถูกจับ [5 ก.ค. 51 - 04:06]







จากการที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์
ระหว่างเดินทางไปเยือนประเทศจีน
และบรูไนว่าจะถูกจับกุมตัวทันทีที่ลงจากเครื่องบิน เรื่องนี้ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนานา
ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่นั้น ล่าสุดนายกรัฐมนตรีได้ออกมาพูดอีกว่าเป็นการพูดเตือนไปจากเมืองไทย

“สมัคร” กลับถึงไทยไร้เหตุร้าย

เมื่อวันที่ 4 ก.ค. เวลา 15.40 น. ที่ท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม พร้อมด้วย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. นายธีรพล นพรัมภา เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เดินทางกลับถึงประเทศไทยด้วยเครื่องบินกองทัพอากาศ ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน และประเทศบรูไน อย่างเป็นทางการ โดยบริเวณท่า อากาศยานและพื้นที่โดยรอบ ไม่มีการเสริมกำลังทหาร หรือตำรวจ เพิ่มเติมจากปกติ รวมไปถึงทีมงานรักษาความปลอดภัยของนายกรัฐมนตรี แม้ว่าก่อนหน้านี้นายสมัครได้พูดถึงประเด็นการจับกุมตัวนายกรัฐมนตรีบริเวณสนามบินก็ตาม นอกจากนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าการเดินทางกลับของนายสมัครครั้งนี้ นายไชยา
สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข ได้ปรากฏตัวบริเวณห้องรับรองในท่า
อากาศยานด้วย อ้างมีคนบอกว่าจะถูกจับที่สนามบิน


นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและ รมว. กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องที่พูดก่อนหน้านี้ว่าจะมีการจับตัวนายกรัฐมนตรีทันทีที่ลงจากเครื่อง แสดงให้เห็นว่าอำนาจนอกระบบ ความพยายามนอกระบบจะมีผลต่อตัวนายกรัฐมนตรีว่า “ไม่ ผมไม่กลัว แต่ผมอยู่ทางโน้นมีคนโทรศัพท์ไปบอก เล่าให้ฟัง มีคนไปแสดงความหวาดวิตก ผมไม่กลัวจะถูกจับกุมตัว ก็เลยบอกว่าไม่มีเหตุผลเท่านั้นเอง กรุณาฟังให้ดีก่อนไปเขียนข่าว เขาบอกว่าผมจะถูกศาลออกหมายจับแล้วศาลจะตัดสินคดีความ ผมจึงบอกว่า จะแจ้งข่าวลือก็ให้แนบเนียนหน่อย ทางศาลต้องแจ้งผมก่อนจะอ่านความ จะอ่านคดี ถ้าไปก็ไปนั่งฟังธรรมดา ถ้าผมไม่ไป 2-3 ครั้ง ศาลออกหมายจับ ศาลอ่านลับหลัง แต่นี่ออกข่าวไปว่าศาลจะอ่านแล้ว จัดการแล้ว แล้วจับจะไม่ให้เป็นนายกฯต่อไป คิดอะไรกันอย่างนี้ จึงคิดดังๆย้อนกลับมาเท่านั้นเอง จะได้ไม่ต้องมีอะไรกัน ให้มันจบม้วนเดียวกัน”

โบ้ยนักข่าวตั้งคำถามนำให้พูด

เมื่อถามว่า มองว่าเป็นการจับตัวเพื่อรัฐประหารหรือไม่

นายสมัครตอบว่า อธิบายแล้ว ฟังไม่เข้าใจหรือพูดหยกๆชัดเจน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ใครเป็นคนปล่อยข่าวให้นายกฯเสียหาย

นายสมัครตอบว่าไม่ปล่อยข่าวหรอก คนที่เป็นนักข่าวได้ถามว่า ได้ทราบข่าวนี้หรือเปล่า พอถามว่าข่าวอะไร เขาก็บอกแชต แชต แชต ผมบอกว่า ถ้าจะเอาข่าวมาปล่อยกับผม ก็ควรให้มันแนบเนียนหน่อยเท่านั้นเอง”

เมื่อถามว่า กำหนดการที่จะลงที่ บน.6 แต่ ทำไมมีข่าวว่าจะจับกุมตัวที่สนามบินสุวรรณภูมิ

นายสมัครตอบว่า ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด ที่ บน.6 มาเครื่องบินนี้ไม่ลงสุวรรณภูมิหรอก

ว้ากใส่อย่าให้ร้ายกองทัพ

เมื่อถามว่า ไม่เชื่อใจในการรักษาความปลอดภัยของกองทัพอากาศใช่หรือไม่

นายสมัครตอบอย่างไม่พอใจว่า “คุณอย่าพูดอย่างนี้”

ผู้สื่อข่าวรีบออกตัวว่า จะโดนด่าใช่หรือไม่

นายสมัครตอบว่า โดนด่าแน่นอน เพราะยังไม่ได้พูดสักคำ

เมื่อผู้สื่อข่าวชี้แจงว่า ต้องการถามให้เคลียร์

นายสมัครตอบสวนว่า “จะเคลียร์อะไร คุณพูดอย่างนี้ต้องการจะให้ร้ายกองทัพอากาศ
คุณอย่าพูดอย่างนี้ ต่อไปอย่าพูดอีก พูดอย่างนี้เป็นการดูแคลนกองทัพอากาศ”

เมื่อถามว่า ที่ถามเพื่อต้องการให้เกิดความเข้าใจกัน

นายสมัครตอบว่า ไม่มีปัญหา ตนมา พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผบ.ทอ. ก็มาส่ง กลับมาก็คุยกัน
เรื่องเครื่องบิน เรื่องสมรรถภาพเครื่องบินและคุยกันเรื่องอาหารที่มาเลี้ยงตอนขาไป
มันมีอะไรผิดปกติ




เมื่อถามว่า สภาพการเมืองกำลังร้อน

นายสมัครย้อนถามว่า ร้อนตรงไหน ใครมันเอาเตาไปใส่ไว้ใต้ใคร


อ้างอิงจาก หนังสือพิพ์ไทยรัฐปีที่ 59 ฉบับที่ 18429 วันอาทิตย์ ที่ 6 กรกฎาคม 2551








แล้วเพือนๆล่ะ คิดว่าการเมืองตอนนี้เป็นอย่างไรถ้าจาให้เปรียบกับบางสิ่ง


เช่นว่า เปรียบเหมือนอากาศตอนนี้การเมืองก็คงใกล้มีพายุละมั้ง เพราะช่วงนี้ร้องอบอ้าวเหลือเกิน 555
ยิ่งกว่ามีคนเอาเตาไปไว้ใต้อีกนะเนี้ย


แล้วเพื่อนๆล่ะคิด........ยังไงจ้า? ? ? ? ? ? ? ?